Our score
8.1PlayStation 5 Pro
ขั้นสุดของเครื่องเล่นเกมคอนโซล ที่เจาะจงเฉพาะผู้เล่นที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด
ความสามารถหลักเหมือน PlayStation 5 เน้นปรับปรุงเรื่องกราฟิกให้สูงสุดในตลาดคอนโซล แต่ถ้าเทียบราคาที่สูงขึ้นมาขายที่ 29,490 บาทอาจไม่คุ้มค่า
จุดเด่น
- ประสิทธิภาพสูงที่สุดในกลุ่มเครื่องคอนโซล ให้ภาพที่ตอบสนองความต้องการเกมเมอร์ได้
- ตัวเครื่องไม่ได้ใหญ่ขึ้นนัก เมื่อเทียบกับ PlayStation 5 Slim และยังเล็กกว่า PlayStation 5 รุ่นแรก
- ให้ความจุเครื่องมาถึง 2 TB และสามารถใส่เพิ่มผ่านช่อง M.2 ได้อีก
- ปรับปรุงคุณภาพเกม PlayStation 4 ให้ดีขึ้นได้ด้วย
จุดสังเกต
- ราคาสูงกว่ารุ่นปกติมาก
- ต้องเล่นเกมกลุ่ม PS5 Pro Enhanced ที่ปรับปรุงมาเฉพาะ ถึงจะเห็นประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น
- ไม่ใช่ทุกเกมที่ปรับปรุงแล้วจะดีขึ้น ต้องให้เวลานักพัฒนาจูนเกมให้เหมาะกับเทคโนโลยีใหม่อย่าง PSSR
- ขาตั้งเครื่องและ UHD Blu-Ray Drive ต้องซื้อเพิ่ม
-
การออกแบบ
9.0
-
ประสิทธิภาพเครื่อง
8.5
-
ฟีเจอร์สนับสนุนการเล่นเกม
9.0
-
ความคุ้มค่า
6.0
Sony PlayStation 5 Pro เป็นเครื่องเล่นเกมรุ่นอัปเดตกลางเจน ซึ่งวางขายหลังจาก PlayStation 5 ที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2020 ได้ 4 ปี ซึ่งการอัปเกรดครั้งนี้เน้นที่การเติมประสิทธิภาพกราฟิกให้เล่นเกมระดับ 4K 60 fps ได้นิ่งขึ้น และปรับปรุงประสิทธิภาพของ Ray Tracing ให้เร็วขึ้นอีกเท่าตัว แต่กลายว่าเป็นว่าการอัปเกรดครั้งนี้กลับถูกพูดถึงกันมากที่สุดเรื่องราคา ซึ่งในไทยตั้งไว้ที่ 29,490 บาท นับเป็นเครื่องเล่นเกมคอนโซลที่ขายแพงที่สุดอันดับ 2 รองจาก PlayStation 3 รุ่นแรก รีวิวนี้เราได้เล่น PlayStation 5 Pro อยู่ระยะหนึ่ง เพื่อหาคำตอบว่าคุ้มไหมที่จะซื้อมาเล่น
ดีไซน์ของ PlayStation 5 Pro
ถ้าเทียบจาก PlayStation 5 Slim แล้ว ดีไซน์ของ PlayStation 5 Pro นั้นไม่ต่างกันมากนัก งานดีไซน์หลัก ๆ ก็ยังอิงจากตัว Slim มา ซึ่งถ้าเทียบขนาดเครื่องของรุ่นโปรที่ 388 × 89 × 216mm กับเครื่องสลิมที่ 358 × 97 × 224mm จะเห็นว่าขนาดพอ ๆ กันเลย จะมีด้านความสูงที่สูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด ขึ้นไปสูงเทียบเท่าเครื่อง PlayStation 5 ตัวอ้วนรุ่นแรกที่ผู้เขียนใช้อยู่ที่มีขนาด 390 × 104 × 260 mm แต่ถ้าดูโดยรวมแล้ว PS5 Pro ก็ยังตัวเล็กกว่า PS5 ตัวอ้วนรุ่นแรกอยู่ดี แถมยังเบากว่าด้วยน้ำหนัก 3.1 กก. ส่วนตัวอ้วนรุ่นแรกหนัก 3.9 กก. ในรุ่นดิจิตอล ส่วนรุ่นสลิมหนัก 2.6 กก. ครับ
ดีไซน์เด่นชัดว่าเป็น PS 5 Pro คือบั้ง 3 ขีดตรงกลางเครื่อง ที่ทำให้เส้นสีดำตรงกลางเครื่องหนากว่ารุ่นสลิม
โดยด้านหน้าของเครื่องก็มีพอร์ต USB-C ให้ 2 พอร์ต ซึ่งพอร์ตหนึ่งเป็นพอร์ตความเร็วสูง 10 Gbps ด้วย ส่วนด้านหลังก็มีพอร์ต HDMI, LAN 1 Gbps และ USB-A 2 ช่อง ซึ่งเป็นพอร์ตความเร็ว 10 Gbps ทั้งคู่ครับ
ส่วนด้านในเครื่องก็สามารถเปิดฝาด้านขวาของเครื่องออกมาเพื่อติดตั้งไดรฟ์ UHD Blu-Ray เพิ่มได้ รวมถึงมีช่องติดตั้ง SSD แบบ M.2 เพื่อเพิ่มความจุในเครื่องให้เยอะขึ้นไปอีก แต่ความจุ 2 TB ที่ให้มาก็ถือว่าใหญ่มากสำหรับการลงเกมทิ้งไว้ได้หลายเกม อัปเกรดจากรุ่นสลิมที่มีความจุให้ 1 TB
แต่ก็น่าเสียดายที่ราคาที่สูงขึ้นของ PS5 Pro กลับไม่ได้ให้อุปกรณ์เสริมที่จำเป็นมาให้ครบ ๆ อย่างขาตั้งเพื่อให้วางเครื่องแนวตั้งได้อย่างมั่นคงก็ต้องซื้อเพิ่มในราคา 1,090 บาท แม้ว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้ขาตั้งในการวางเครื่องแนวตั้งก็ได้ แต่มีไว้ก็ทำให้มั่นใจกว่าเครื่องจะไม่ล้ม และเครื่อง PS5 รุ่นแรกก็มีขาตั้งมาให้เลยโดยไม่ต้องซื้อเพิ่มครับ และในราคานี้ยังไม่ได้ตัวไดรฟ์อ่าน UHD Blu-Ray ด้วย ก็ต้องซื้อเพิ่มในราคา 3,790 บาท ซึ่งในช่วงที่เขียนรีวิวอยู่นี้กลายเป็นว่าไดรฟ์ UHD Blu-Ray ขาดตลาด ไม่สามารถหาซื้อได้ในราคาปกติ ต้องไปซื้อราคารีเซลที่แพงขึ้นแทน
เทียบสเปก PlayStation 5 Pro
มาถึงเรื่องสำคัญอย่างประสิทธิภาพกันบ้างครับ เริ่มจากสเปกของ PS5 Pro เทียบกับ PS5 รุ่นปกติก่อน
สเปก | PlayStation 5 Slim | PlayStation 5 Pro |
---|---|---|
CPU | 8 Core AMD Zen 2 | 8 Core AMD Zen 2 |
GPU | 10.28TFLOPs, AMD Radeon, RDNA | 16.7 TFLOPS, AMD Radeon, RDNA |
Storage | 1 TB SSD | 2 TB SSD |
RAM | 16 GB GDDR6 | 16 GB GDDR6 + 2 GB DDR5 |
Upscaling | X | PSSR (PlayStation Spectral Super Resolution Upscaling) |
Connectivity | Wi-Fi 6, Bluetooth 5.1, Gigabit LAN | Wi-Fi 7, Bluetooth 5.1, Gigabit LAN |
จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ PS5 Pro ปรับปรุงเป็นหลักเลยคือเรื่อง GPU ที่ทำให้การประมวลผลกราฟิกต่าง ๆ เร็วขึ้น มี PSSR เพิ่มขึ้นมาเพื่อใช้ AI ช่วยอัปสเกลภาพให้ชัดขึ้นโดยไม่ต้องเรนเดอร์ที่ความละเอียดปลายทางจริง ๆ ทำให้ภาพลื่นไหลโดยคุณภาพไม่ดรอปมากนัก (คล้าย ๆ Nvidia DLSS) ในส่วนของ CPU นั้นแทบจะเหมือนเดิม แต่จะมีแรมเพิ่มมาอีก 2 GB แยกต่างหาก เอาไว้สำหรับระบบปฏิบัติการโดยเฉพาะจะได้ไม่ต้องไปแชร์แรมจากเกมมาใช้
แต่ในส่วนของฟีเจอร์เล่นเกมต่าง ๆ ก็เหมือน PS5 ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น SSD ความเร็วสูง ทำให้เล่นเกมโดยแทบไม่ต้องโหลด, จอย DualSense ที่สั่นไหวและต้านมือเหมือนกัน, ระบบเสียงรอบทิศทาง Tempest 3D Audio ของโซนี่เอง ทำให้ประสบการณ์เล่นเกมโดยรวมของ PS5 Pro ไม่ได้ต่างจาก PS5 รุ่นธรรมดาเท่าไหร่ ต่างเรื่องความละเอียดและความลื่นไหลของภาพเป็นหลัก
ประสบการณ์การเล่นเกม
เราทดลองเล่นหลากหลายเกมที่มีอยู่ในคลังเกมของเรา ก็พบว่าความแตกต่างของ PlayStation 5 Pro นั้นขึ้นอยู่กับตัวเกมเป็นหลักเลย
Control
สำหรับเกมปี 2019 (แต่ลง PS5 ปี 2021) จากค่าย Remedy นี้ เป็นตัวอย่างของเกมที่ใช้ Ray Tracing เต็ม ๆ แต่ยังไม่ได้ปรับปรุงให้รองรับ PS5 Pro ทำให้ประสิทธิภาพเมื่อเปิดโหมดภาพสูงสุดที่ใช้ Ray Tracing เต็มตัว เฟรมร่วงไปราว ๆ 30 fps เหมือน PS5 รุ่นเดิมไม่มีผิด ทำให้ถ้าเล่นจริงจังก็ต้องปรับโหมดกลับเป็นโหมดลื่นไหลแทน และปิดแสงเงาของ Ray Tracing แสดงให้เห็นว่าถ้าไม่ใช่เกมที่เป็น PS5 Pro Enhanced ก็จะไม่ได้อะไรจากการอัปเกรดนี้
Resident Evil 4 Remake
หนึ่งในเกมที่ปรับปรุงให้รองรับ PS5 Pro ได้ดีที่สุด ความรู้สึกการเล่น RE4 Remake บน PS5 แตกต่างจากบน PS5 Pro ชัดเจน ด้วยแสงเงา แสงสะท้อนต่าง ๆ ที่ดูยิบยับสมจริงขึ้น สามารถให้รายละเอียดภาพที่ดีบนเฟรตเรตที่ดีได้ จนรู้สึกแตกต่างได้แม้ไม่ได้จับเอาภาพมาเทียบกัน
Silent Hill 2 Remake
อีกเกมที่ระบุว่าปรับปรุงให้รองรับ PS5 Pro แล้ว แต่หลังจากทดลองเล่นก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากการเล่นบน PS5 ปกติ ทั้งคุณภาพภาพและเฟรมเรต ซึ่งในเกมเวอร์ชัน 1.05 ที่ออกมาครั้งแรกมีปัญหาเรื่องคุณภาพภาพกับ PS5 Pro ด้วย จนได้รับการแก้ไขในเกมเวอร์ชัน 1.06 แต่เฟรมเรตก็ยังไม่ได้เพิ่มขึ้นจนแตกต่างจาก PS5 ปกติชัดเจน Silent Hill 2 Remake จึงเป็นตัวอย่างของเกมที่ออกมาบอกว่ารองรับ PS5 Pro แล้ว แต่ยังต้องใช้เวลาเพื่อจูนเกมให้รองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้เต็มที่
Stellar Blade
ค่าย Shift Up ปรับปรุงเกมนี้ให้รองรับ PS5 Pro ได้อย่างน่าประทับใจ โดยเพิ่ม 2 โหมดใหม่เข้าไปคือ Pro ที่ปรับปรุงโหมด Balanced เดิมให้คมชัดขึ้นด้วย PSSR และโหมด Pro Max ที่ปรับปรุงโหมด Prioritize Resolution เดิมให้มีเฟรตเรตมากขึ้นด้วยกำลังของ PS5 Pro ซึ่งผลที่ได้จากโหมด Pro คือการเล่นที่ลื่นไหลและภาพที่คมชัดขึ้นกว่าเดิม แต่สำหรับโหมด Pro Max ที่จะให้ภาพคมชัดที่สุด ก็ยังเหมือนเล่นเกมที่ 30 fps อยู่ดี
แต่ความแตกต่างของภาพจาก Stellar Blade บน PS5 และ PS5 Pro ไม่ได้ต่างกันมากขนาดรู้สึกได้เลยเหมือน Resident Evil 4 Remake ยังต้องมีเอาภาพมาเทียบกันถึงจะดูออกว่าต่างตรงไหนบ้าง
Until Dawn Remake
อีกหนึ่งเกมที่แจ้งว่าได้รับการปรับปรุงให้เป็น PS5 Pro Enhanced แล้ว แต่ความรู้ในการเล่นก็ยังไม่แตกต่างจากการเล่นบน PS5 เดิม ทั้งโหมด Fidelity ที่เน้นภาพสวยก็ยังให้เฟรมเรตสูงสุด 30 fps เหมือนเดิม ส่วนโหมด Performance ก็เน้นที่ 60 fps เหมือนเดิม ซึ่งก็ยังมีเฟรมเรตร่วงลงมาบ้าง ซึ่งในแง่รายละเอียดภาพ PS5 Pro น่าจะทำได้ดีกว่า PS5 เพียงแต่ว่าเราต้องสังเกตและเทียบภาพถึงจะเห็นความต่างนี้ครับ
เกมจาก PlayStation 4
ใน PlayStation 5 Pro จะมีตัวเลือกพิเศษคือ “เพิ่มคุณภาพรูปสำหรับเกม PS4” ที่ใช้ปรับปรุงคุณภาพภาพจากเกม PlayStation 4 ซึ่งว่ากันในเชิงเทคนิคแล้วมันคือการเพิ่มความละเอียดภาพที่ผลลัพธ์สุดท้าย เหมือนเราขยายภาพด้วยอัลกอริทึม Super Resolution ยุคใหม่ ๆ ในโปรแกรมแต่งภาพ ที่แม้ขยายภาพก็ยังชัดอยู่ แต่โซนี่ก็เตือนว่าการขยายแบบนี้อาจทำให้เกิดผลที่ไม่พึงประสงค์ได้ ซึ่งถ้าเจออะไรแปลก ๆ ในภาพก็ให้ปิดครับ
ซึ่งเราก็ทดลองกับหลายเกมของ PS4 เพื่อดูผลลัพธ์ว่าแตกต่างกันหรือไม่ระหว่างปิดกับเปิด ก็ยังไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างครับ แต่เกมที่รีวิวหลายสำนักบอกว่าต่างกันคือ Bloodborne
PlayStation 5 Pro ไม่ได้เหมาะกับทุกคน
โซนี่เคยปรับปรุง PlayStation ในช่วงกลางเจนมาแล้วครั้งหนึ่งตอน PlayStation 4 Pro ซึ่งในแง่การปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องในตอนนั้นก็ไม่ได้ต่างจากตอนนี้เท่าไหร่ คือเล่นเกมได้ลื่นไหลขึ้นระดับหนึ่ง แต่ในตอนนั้น PS4 Pro ขายแค่ 16,990 บาท ส่วน PS4 Slim ขายที่ 12,999 บาท ซึ่งพอ PlayStation 5 Pro ตั้งราคากระโดดขึ้นมาที่ 29,490 บาท ในขณะที่ PlayStation 5 Slim ราคาเริ่มต้นที่ 15,690 บาท ก็กลายเป็นสัดส่วนราคาที่ต่างกันมาก แถมราคาเกือบ 30,000 บาทของ PS5 Pro ยังต้องซื้อ UHD Blu-ray เพิ่มอีกสำหรับสายสะสมแผ่น ซึ่งก็น่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าของ PS5 Pro จำนวนไม่น้อย
ด้วยราคาที่ต่างจากรุ่นมาตรฐานเกือบเท่าตัว แต่คุณภาพภาพและความลื่นไหลจากเกมไม่ได้ต่างกันเยอะขนาดนั้น ซึ่งบางทีเล่นกับจอหรือทีวีบางชนิด ก็อาจจะมองความแตกต่างในแง่รายละเอียดภาพได้ยากด้วยซ้ำ และถ้าเล่นเกมที่ไม่ใช่ PS5 Pro Enhanced ก็ไม่แตกต่างจากการเล่นบนเครื่อง PS5 รุ่นปกติ ทำให้คนที่เหมาะสำหรับรุ่นนี้คือคนที่ไม่มีปัญหาเรื่องการลงทุนซื้อเครื่องเกมที่ดีที่สุดมาเล่นครับ หรือคนที่ต้องการซื้อ PS5 เป็นครั้งแรก ก็ต้องการเครื่องที่ดีที่สุดไปเลย ส่วนถ้าใครมี PS5 อยู่แล้วอยากอัปเกรดไป PS5 Pro ก็ต้องชั่งใจดูแล้วว่าเกมที่อยากเล่นนั้นปรับปรุงเป็น PS5 Pro Enhanced แล้วหรือยัง ถ้ายังก็อาจจะรออีกสักพัก หรือบางเกมที่อัปเดตว่ารองรับ PS5 Pro แล้ว ก็ยังต้องใช้เวลาในการจูนเพื่อใช้เทคโนโลยีใหม่อย่าง PSSR ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนมีเกม PS5 Pro Enhanced มากพอ แล้วค่อยซื้อก็ได้ครับ