Our score
8.1Romancing SaGa 2 Revenge of the Seven
จุดเด่น
- ตัวเกมถูกสร้างใหม่หมดแบบรีเมก
- เกมเพลย์สนุก รีเมกแบบไม่เสียความคลาสสิก
- ราคาขายไม่แพง
จุดสังเกต
- กราฟิกธรรมดาไปหน่อย
-
กราฟิก
8.0
-
เกมเพลย์
8.5
-
ความคุ้มค่า
8.0
-
ภาพรวม
8.0
การรีเมกของเก่ามาขายใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหากจะทำแบบจัดเต็มแบบเดียวกับเกม Final Fantasy 7 Remake คงต้องใช้เวลานานมากพร้อมกับทุนสร้างมหาศาล เพราะมันเป็นการยกเครื่องใหม่หมด และยังทำออกมาให้สนุกแบบไม่เสียความคลาสสิกของต้นฉบับซึ่งได้ยากมาก ๆ ทำให้มันเป็นสิ่งที่ท้าทายผู้สร้างมาตลอด
แต่ก็มีหลายครั้งที่ทีมงานสามารถสร้างได้ตอบโจทย์ ทำให้เราได้สัมผัสเกมเก่าเล่าใหม่ในรูปแบบที่กราฟิกปรับเปลี่ยนไปหมด และหนึ่งในนั้นคือการมาของ Romancing SaGa 2 Revenge of the Seven ภาครีเมกใหม่หมดของต้นฉบับที่ออกวางขายบน Super Famicom ในปี 1993 ซึ่งใครเกิดทันเล่นถือว่าเป็น RPG ที่มีอะไรแตกต่างจากเกมอื่นและมีความท้าทายสูงพอตัว โดยภาครีเมกวางขายบน PS4, PS5, Nintendo Switch และ PC
ส่วนเรื่องราวใน Romancing SaGa 2 Revenge of the Seven เริ่มจากในอดีตมี 7 ฮีโร่ได้ช่วยกอบกู้โลกจากปีศาจร้าย แต่พวกเขาก็ได้หายตัวไป และเมื่อเวลาผ่านไปหลายร้อยปีเหล่าปีศาจได้กลับมาอีกครั้งจนชาวเมืองได้ร้องเรียกหาฮีโร่ทั้ง 7 อีกครั้ง ความแหวกแนวคือถือเรื่องราวมีการเล่าผ่านหลายตัวละคร และหลายยุคหลายสมัยห่างกันเป็นร้อยปี และการเล่าเรื่องใหม่มีการลงทุนทั้งเสียงพากย์และคัทซีนมาให้ชมด้วย
กราฟิกดูดีแต่อย่าคาดหวังมาก
ภาพในเกม Romancing SaGa 2 Revenge of the Seven ที่เป็นการรีเมกใหม่หมด ทำให้มันเหมือนได้เล่นเกมใหม่ เพราะยกระดับจากภาพแบบ 2 มิติที่สร้างจากพิเซล เปลี่ยนมาเป็น 3 มิติเต็มรูปแบบที่สามารถปรับเปลี่ยนมุมกล้องได้ด้วย และยังมีการสร้างโดยอ้างอิงจากฉากที่เป็น 2D ทำให้มันทำออกมาได้ยอดเยี่ยมในส่วนนี้ และมีการลงทุนใช้ Unreal Engine ในการสร้างกราฟิกในเกมด้วย
อย่างไรก็ตามภาพในเกมไม่ได้อยู่ในระดับสูงสุดของเกม AAA เพราะยังคงทำมาแนวการ์ตูน ที่ไม่ได้มีรายละเอียดอะไรมากนัก เพราะตัวเกมต้องทำลงคอนโซลหลายเครื่อง แต่โดยรวมทำออกมาได้ดีในระดับน่าพอใจ มีเวลาการโหลดเข้าฉากต่อสู้ไม่นานด้วย ส่วนกราฟิกเวอร์ชัน Nintendo Switch แม้จะด้อยกว่าเครื่องเกมอื่นแต่ก็พอรับได้ แต่จะมีอาการโหลดพื้นผิวไม่ทันอยู่บ้าง
ส่วนเพลงประกอบถือเป็นไฮไลท์ที่ต้องพูดถึงเพราะต้นฉบับถือเป็นหนึ่งในตำนานเพลงประกอบเกม RPG ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเกมหนึ่งบน Super Famicom มีเพลงธีมหลักที่ติดหูและไพเราะ ส่วนเวอร์ชันรีเมกก็มีการลงทุนทำดนตรีใหม่ให้ทันสมัยขึ้น แต่ยังคงความคลาสสิกเหมือนเดิม แถมใครชอบเวอร์ชันต้นฉบับก็สามารถเลือกเปลี่ยนได้ด้วย ข่าวดีคือมีการลงทุนใส่เสียงพากย์เข้ามาด้วยทำให้การเล่นดูไม่เชย
เกมเพลย์เหมือนเดิมแต่ปรับทำให้ทันสมัย
รูปแบบการเล่นหลัก ๆ แล้วยังคงเหมือนกันต้นฉบับที่นำเสนอในรูปแบบเกม RPG เทิร์นเบสแบบใส่คำสั่งแล้วโจมตี และยังมีการตัดเข้าฉากต่อสู้ นอกจากนี้ยังไม่มีระบบเรียลไทม์ ฟังดูอาจจะเชยแต่ก็ชดเชยด้วยการยกระดับกราฟิกใหม่หมด ทั้งฉากหลักที่ทำให้เกมดูยิ่งใหญ่กว่าเดิม ส่วนฉากต่อสู้ก็ทำได้ตามมาตรฐานเกม RPG แต่ที่ดีงามมาก ๆ คือการโหลดฉากต่อสู้ทำได้รวดเร็วกว่าเกมอื่นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้มันยังดูไม่เชยเพราะมีการปรับให้ทันสมัยขึ้นแล้ว
ต่อเนื่องด้วยฉากในเกมที่แบ่งออกเป็นด่านในเมืองหรือหมู่บ้าน และฉากดันเจี้ยนที่สร้างโดยอ้างอิงจากต้นฉบับที่เป็นฉากแบบ 2D มาจำลองให้เป็น 3D และยังเสริมสิ่งใหม่ ๆ เข้าไปทำให้มันดูไม่เชย เช่นการกระโดดทำให้ฉากดูมีแอ็กชันมากกว่าเดิม แต่ตัวเกมยังคงใช้ระบบเห็นศัตรูเป็นตัวบนฉาก ทำให้ผู้เล่นสามารถเลือกเดินหนีได้ แต่อาจจะดูยากกว่าต้นฉบับที่เป็น 2D เพราะมุมกล้องแบบ 3 มิติที่มีมุมอับสายตามากกว่า
ระบบเกมยังคงไม่เชย และมีความท้าทาย
ระบบหลัก ๆ ของเกมยังคงเป็นจุดเด่นที่ยังไม่เชยแม้จะหยิบมาเล่นในยุคนี้ โดยเกมจะไม่มีระบบเลเวลตรง ๆ ทุกอย่างจกถูกแยกส่วนกันเช่นค่าพลังชีวิตหรือที่เรียกว่า HP ค่าพลังใช้ท่าไม้ตายที่เรียกว่า BP ที่จะมีการอัปเกรดแยกกันหมด นอกนี้การเพิ่มท่าโจมตีใหม่ ๆ จะได้จากการใช้อาวุธหรือท่าไม้ตายบ่อย ๆ ถึงจะได้ท่าใหม่มาใช้งาน ด้วยระบบนี้เองทำให้เราสามารถเลือกปรับแต่งยกระดับตัวละครของเราได้หลากหลาย จะให้เก่งสายไหนก็แต่ใช้อาวุธชนิดนั้นบ่อย ๆ
นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับระบบ ต่อสู้เสร็จ HP กลับมาเต็มทั้งทีมไม่จำเป็นต้องใช้ยาเติมหากเราผ่านการต่อสู้มาได้ อย่างไรก็ตามใส่ส่วนของค่าพลัง BP ต้องใช้ยาเดิมพลังหรือนอนพักอยู่ ส่วนนี้ทำให้ผู้เล่นไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับค่าพลังมากนัก และยังมาพร้อมกับรูปแบบแผนที่โลกแบบเลือกจุดที่ไปได้เลยไม่ต้องเสียเวลาเดินไปเอง
ซึ่งทำให้การเล่นทำได้รวดเร็วเหมาะสมกับการเล่นในยุคนี้ที่คนไม่ชอบรออะไรนาน ๆ ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ของใหม่เพราะตั้งแต่ต้นฉบับก็มีมาแล้ว ทำให้ถือเป็นข้อดีเพราะเกมนำเสนอรูปแบบที่สามารถข้ามกาลเวลามาเล่นในยุคปัจจุบันได้แบบไม่เชย นอกจากนี้ยังเสริมด้วยระบบนำทางที่บอกว่าเราต้องไปทำอะไรตรงจุดไหนเพื่อที่จะผ่านเนื้อเรื่องไปได้ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเดาว่าต้องไปไหนต่อซึ่งส่งผลให้การเล่นลื่นไหลมากขึ้นกว่าเดิม
โดยรวมแล้ว Romancing SaGa 2 Revenge of the Seven เป็นการรีเมกแบบยกระดับใหม่ที่ทำได้ดีงาม เพราะนอกจากเกมเพลย์ยังทำออกมาได้ยอดเยี่ยมแล้ว ยังสามารถถ่ายทอดความคลาสสิกได้แบบไม่เสียของ ใครเคยเล่นต้นฉบับมาก่อนก็ไม่ควรพลาดอยู่แล้ว เพราะมันถูกสร้างมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ และต่อให้ไม่เคยเล่นมาก่อนก็อยากให้ลองดูเพราะมันคือหนึ่งในเกม RPG รีเมกที่ปรับให้เข้ากับยุคสมัยที่เด็กรุ่นใหม่เล่นได้โดยไม่รู้สึกว่าเชย