[Review] Marvel’s Spider-Man 2 เพื่อนบ้านแสนดีเวอร์ชัน PC กับปัญหา Performance ที่ไม่ดีนัก
Our score
6.0

Marvel’s Spider-Man 2 (PC)

จุดเด่น

  1. เนื้อเรื่องที่เขียนมาได้ดี เล่าเรื่องได้น่าติดตาม
  2. ฟีเจอร์สำหรับชาว PC แบบจัดเต็ม
  3. Gameplay ที่ยังคงสนุก รักษามาตรฐานเอาไว้ได้ยอดเยี่ยม

จุดสังเกต

  1. ถึงแม้จะมาอยู่บน PC แล้ว แต่กราฟิกที่ไม่ได้สวยงามมากขนาดนั้น
  2. ปัญหาเรื่อง Performance และการ Optimization ที่ไม่ดีเลย และต้องใช้เวลาในการปรับปรุงอีกเยอะมาก

ช่วงหลัง ๆ มานี้ทาง Sony PlayStation ก็ได้เริ่มนำเอาเกม Exclusive ของตัวเองมาลงให้ชาว PC ได้สัมผัสกันเยอะมากยิ่ง ขึ้น ถึงแม้ว่าอาจจะต้องรอกันนานสักหน่อย ด้วยทิศทางการตลาดแบบใหม่ ที่ต้องการให้เกมเมอร์ทุก ๆ คนได้เข้าถึงเกมจากฝั่ง PlayStation และคราวนี้ก็มาถึงคิวของ Marvel’s Spider-Man 2 ที่วางขายไปในปี 2023 บนเครื่อง PlayStation 5 ได้ตกมาถึงชาว PC กันสักทีครับ

ผลงานจากทีม Insomniac Game ที่เป็นเกมชูโรงของค่ายนี้ไปแล้วก็ว่าได้ โดยการมาของ Marvel’s Spider-Man 2 นั้น อาจจะไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรที่น่าตื่นเต้นจากภาคแรกมากนั้น โดยรวมแล้วมันก็ยังคงเป็นเกมเดิม ที่มีรูปแบบการเล่นเหมือนเดิม แต่มีการเล่าเรื่องต่อจากเกมภาคแรก และภาคเสริมอย่าง Miles Morales หรือจะพูดให้เห็นภาพง่าย ๆ มันก็เหมือนเราได้ดูหนังภาคต่อเรื่องนึง ที่ยังมีรสชาติเดิม ๆ อยู่ครับ

ซึ่งเดิมทีแล้วผมเองก็เคยรีวิวเกมนี้เวอร์ชัน PlayStation 5 กันไปแล้ว ซึ่งในนั้นผมเองก็พูดถึงภาพรวมของตัวเกมทั้งหมดไป ก็ตามไปอ่านกันได้เลย คลิก

Our score
8.0

จุดเด่น – จุดสังเกต ของ Marvel’s Spider-Man 2

จุดเด่น
  1. เนื้อเรื่องที่เขียนมาได้ดี เล่าเรื่องได้น่าติดตาม
  2. Side Quest ที่ออกแบบมาได้ดีมาก ๆ
  3. ยังคงรักษามาตรฐานเอาไว้ได้ยอดเยี่ยม
จุดสังเกต
  1. กราฟิกที่ไม่ได้สวยงามมากขนาดนั้น
  2. ตัวร้ายอย่าง Kraven ที่ไม่ได้น่าจดจำ
[Review] Marvel’s Spider-Man 2 เกมที่ถูกออกแบบมาเพื่อ Fan Service

ส่วนเนื้อหาของวันนี้ ด้วยการที่มันถูกนำมาลง PC วันนี้เราก็จะมาดูกันครับว่า Marvel’s Spider-Man 2 บน PC นั้น ทำได้ดีแค่ไหน และคุ้มค่าไหมสำหรับสาวกไอแมงมุม


PC Features


Marvel’s Spider-Man 2 เวอร์ชัน PC นั้นเรียกได้ว่าพอร์ตมาค่อนข้างจัดเต็มเลยทีเดียว Insomniac Game รู้ดีว่า PC Gamer นั้นต้องการอะไร ตัวเกมมีการปรับปรุงกราฟิกใหม่ยกชุด ซึ่งพูดตรงนี้เลยว่ามันดูดีกว่าเวอร์ชัน PS5 ในโหมด Quality อย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงรองรับ Nvidia DLSS 3 และ AMD FSR 3.1 พร้อมกับเทคโนโลยี Frame Generation ทั้งสองค่าย ทำให้คนที่ใช้การ์ดจอรุ่นต่ำกว่า RTX 4000 ก็สามารถเปิด Frame Generation ได้โดยใช้เทคโนโลยี AMD FSR Frame Generation 3.1 นั่นเอง พร้อมกับ Ray Tracing ถูกปรับปรุงใหม่ทั้งหมด พร้อมรองรับ DLSS Ray Reconstruction สำหรับผู้ใช้การ์ดจอ Nvidia ที่ไปเปิดเอาใน Nvidia App ได้เลย

ตัวเกมรองรับหน้าจอ Monitor แบบ Ultra-Wide ตั้งแต่ 21:9, 32:9 ไปยัน 48:9 กันไปเลย พร้อมยังรองรับระบบ Nvidia Surround และ AMD Eyefinity สำหรับใครที่ต่อภาพออกสามจอขึ้นไปครับ แถมที่สำคัญ ในฉาก Cutscene มันก็ยังแสดงภาพแบบ 21:9 ไม่ตัดขอบดำ ไม่มีการย่อภาพให้มาเหลือ 16:9 อีกด้วยนะ งานนี้ใครที่ใช้จอ Ultra-Wide ก็คงจะรู้สึกฟินเหมือนกับได้ดูหนังในโรงภาพยนตร์กันเลยล่ะ

นอกจากนี้ก็จะมีพวกระบบพื้นฐานอย่างการรองรับเมาส์คีย์บอร์ดที่ถูกปรับแต่งมาดี และสามารถปรับแต่งเองได้ตามต้องการ รองรับ Controller DualSense ที่มาพร้อม haptic feedback และ adaptive triggers เหมือนกับใน PS5 ทุกอย่าง นอกจากนี้เรายังสามารถ Login ผ่านระบบ PlayStation Network เพื่อเก็บถ้วยหรือ Trophy ได้อีกด้วยผ่านระบบ PlayStation Overlay ที่นึกภาพก็คล้าย ๆ กับพวก Steam Overlay, Xbox Overlay ที่พ่วงมาในเกม ทำให้เราเข้าถึงรายชื่อเพื่อนใน PSN รวมไปถึง Profile ต่าง ๆ ได้เลยภายในเกม ซึ่งแน่นอนว่าระบบนี้ต้องทำการ Login PSN Account ก่อนถึงจะใช้ได้ แต่ข่าวดีคือ Sony ไม่ได้บังคับให้ Login ถ้าหากเราไม่ต้องการ และไม่มีการติดตั้ง Software ภายนอกอื่น ๆ เพิ่มเติมครับ

นอกจากนี้ด้วยการที่ตัวเกมเวอร์ชัน PC วางจำหน่ายบน Steam แน่นอนว่ารองรับทั้ง Steam Achievement และ Steam Cloud แถมยังใช้ Family Sharing ได้ด้วยนะ และแน่นอนครับว่าตัวเกมรองรับภาษาไทยเต็มรูปแบบทั้ง UI และ Subtitle เหมือนกับเวอร์ชัน PS5 เลยไม่มีผิด

ทุกอย่างดูเหมือนจะมาถูกทางแล้ว ด้วยฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่จัดเต็มมาสำหรับชาว PC ทำให้มีสาวกหลายคนเลย รอที่จะกลับมาเล่นเกมนี้บนเวอร์ชัน PC อีกครั้ง แต่ก็น่าเสียดายที่การรอครั้งนี้อาจจะทำให้หลายคนผิดหวัง เพราะ Marvel’s Spider-Man 2 นั้นปัญหามากเลย ในเรื่องของ Performance และการ Optimization โดยวันนี้เราจะนำเอาผลทดสอบมาให้ชมกันครับ


Performance


สเปกที่ใช้ทดสอบกันในวันนี้คือ

  • CPU: Intel Core I9-13900K (Undervolt 5.2GHz)
  • RAM: Kingston Fury 32GB (16×2) 5600 DDR5
  • VGA: Asus ROG RTX 3080
  • SSD: Kingston Fury Renegade 2TB
  • NVIDIA Driver: 572.16 Game Ready Driver
  • Windows 11 23H2

หมายเหตุ การทดสอบครั้งนี้รันบนเกมเวอร์ชัน v1.205.0.0 หรือก็คือ Patch 1 ที่ปล่อยมาในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2024 ครับ

21:9 3440X1440(WQHD) Preset High Ray Tracing Off

Preset High นั้นไม่ใช่การตั้งค่าสูงสุด เพราะมันยังมี Very High รออยู่อีกขั้นด้วย โดยผลที่ออกมาอยู่ในขั้น “พอเล่นได้” ในส่วนของ DLSS นั้นทำได้ค่อนข้างดีในโหมด Balanced สามารถทำ Average FPS ได้ที่ 59 และสูงสุดที่ 100 โดยมี 1% Low อยู่ที่ 31 ซึ่งภาพที่ได้นั้นก็ออกมาดูดีเลย แต่ถ้าเราปรับไปที่ Quality มันก็จะมีบางช่วงที่ FPS ดรอปมาต่ำมากในบางฉากที่มี Object เยอะ ๆ โดยส่วนมากจะเป็นฉากต่อสู้ แต่โดยรวมแล้ว Average FPS ก็จะอยู่แถว ๆ 56 แต่ที่ต้องชมเลยก็คือความสามารถของ DLSS 3 ที่ทำให้ภาพที่ได้นั้นดูดีมาก ๆ และน่าจะเป็นเกมแรกเลยที่ผมรู้สึกว่าการเปิด DLSS Quality นั้นทำได้ดี ไม่รู้สึกเลยว่ามันลดคุณภาพของกราฟิกไป ภาพยังสวยคมอยู่เหมือนเลยทีเดียว

DLSS Ultra Performance
FSR Ultra Performance

ในส่วนของ AMD FSR พอเอาเข้าจริง ๆ ตอนทดสอบผมเองก็ไม่ได้เห็นความต่างมากในเรื่องของตัวเลข FPS จนพอได้มาทำกราฟก็ค่อนข้างตกใจอยู่พอควร AMD FSR 3.1 สามารถทำ Overall Frame Rate ได้ดีกว่า Nvidia DLSS เสียอีกในทุก ๆ โหมดเลย แต่ถึงแบบนั้นก็ตามในส่วนของ Average FPS มันก็ไม่ต่างกันมาก แต่ที่เห็นชัดที่สุด ก็คือคุณภาพของกราฟิกที่ได้มา ซึ่ง AMD FSR 3.1 นั้น ยังทำไม่ดีเท่า Nvidia DLSS โดยจะเห็นได้ชัดเลยถ้าหากเปิด FSR Ultra Performance ซึ่งภาพมันจะแตกกระจายมากเลยล่ะ

21:9 3440X1440(WQHD) Preset High DLSS Ray Tracing High

Ray Tracing เป็นเทคโนโลยีที่เอาเข้าจริง มันก็ไม่ได้ช่วยให้กราฟิกในเกมสวยงามขึ้นสักเท่าไรจนต้องอ้าปากค้าง กับการเล่นแสงและเงาแบบ Real Time ที่พัฒนากันมาอย่างยาวนาน และไม่มีท่าทีว่าจะมี Hardware ดี ๆ มารองรับอย่างเต็มที่สักทีถ้าหากไม่มี AI อย่าง DLSS,FSR มาช่วยมัน

และสำหรับใน Marvel’s Spider-Man 2 นั้นต้องบอกเลยว่า “อย่าหาทำ” การเปิด Ray Tracing ในเกมนี้ นอกจากจะทำให้เกมมันเล่นไม่ได้แล้ว มันจะช่วยตอกย้ำความสำคัญของการมีอยู่สำหรับเจ้าตัว Ray Tracing นี่เสียอีก แต่สำหรับใครที่ใช้การ์ดจอ Nvidia ก็อาจจะลองไปเปิด Ray Reconstruction ใน Nvidia App กันดูได้ เพราะมันทำงานได้ดีกว่า Ray Tracing ที่ปรับแต่งมาโดยทีมงานอีกครับ

16:9 Full HD & Quad HD Preset High DLSS Ray Tracing Off

สำหรับคนที่ยังคงเล่นบนจอ 16:9 แบบเดิมอยู่ ทั้งในแบบ 1080P และ 1440P ก็ทำออกมาได้ค่อนข้างน่าพอใจ โดยความแตกต่างจะอยู่ที่ราว ๆ 10FPS ของทั้งสองความละเอียด โดยช่วง 1% Lower นั้นจะเกิดขึ้นในบางฉากที่มีการโหลด Object เข้ามาจำนวนมาก โดยปัญหาหลัก ๆ ก็คือ VRAM ของ RTX 3080 ของผมที่มีเพียง 8GB แต่โดยรวมแล้วมันก็เล่นได้สบาย ๆ งานนี้ถ้าใครที่ใช้จอ Full HD หรือจอ 2K อยู่ ก็อาจจะพอตัดสินใจได้ว่าจะไปไหวไหมสำหรับเกมนี้

16:9 Full HD 1080P Preset High DLSS Quality Ray Tracing High

สุดท้ายกับการทดสอบความละเอียด 1080P โดยใช้การตั้งค่า Preset High DLSS Quality พร้อมกับเปิด Ray Tracing High โดย Averrage FPS นั้นอยู่ที่ 28 และนั้นคือ FPS ตลอดการเล่นจริง ๆ โดย Maximum FPS ที่ 56 นั้น ได้มาจากตอวิ่งไต่กำแพงตึก ที่ไม่ได้มีการคำนวนรายละเอียดภาพอะไรมากนัก


Verdict


จากผลการทดสอบทั้งหมด ชัดเจนเลยว่า Marvel’s Spider-Man 2 นั้นมีปัญหาในเรื่อง Performance และการ Optimization จริง ๆ โดยปัญหาหลัก ๆ อยู่ที่การใช้ VRAM มากเกินความจำเป็น และการแบ่งทรัพยากรที่ไม่ดี ภาระหน้าที่ตกมาอยู่ฝั่ง GPU เกือบทั้งหมด ไม่มีการปรับจูนให้เข้าถึง Hardware ฝั่ง PC ได้อย่างทั่วถึงทุกส่วน ไม่สามารถดึงเอาประสิทธิภาพของ Hardware มาใช้ได้อย่างคุ้มค่า ส่งผลให้ในช่วงแรกก่อนที่จะมี Patch 1 นั้น ตัวเกมจะ Crash บ่อยมาก ๆ เพราะเกิดจากการที่ VRAM และ System RAM เองไม่พอ ส่งผลให้เกิด Memory Leak ขึ้น โดยปัญหานี้ก็ถูกแก้ไปแล้ว แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังมีอาการ “กระตุก” ให้เห็นอยู่ดีครับ

ปัญหาต่อมากับ Ray Tracing ที่ดูแล้วรู้ทันทีเลยว่าทีมงานน่าจะไม่ได้มีการดูแลเอาใจใส่ในส่วนนี้เลย เหมือนถูกใส่ฟีเจอร์นี้เข้ามาให้มันยังคงมีไว้ แต่ไม่ได้สนใจที่จะเข้าไป Optimization มันสักนิด

เดิมทีแล้ว Marvel’s Spider-Man 2 เป็นเกมที่มีรายละเอียดสูงมาก ด้วยการที่เกมนั้นมีฉากอยู่ใน New York เมืองที่วุ่นวายที่สุดในอเมริกา มีสิ่งก่อสร้างเยอะมาก ๆ แถมยังมีผู้คนตามท้องถนนอีกมากมายทั้งบนรถและบนทางเท้า ย่อมทำให้เกิดการคำนวนแสงและเงาที่ซับซ้อนมาก ๆ ซึ่งบน PS5 เองก็มีปัญหาในส่วนนี้ แต่ก็ผ่านมันมาได้ จนพอมาถึงบน PC กลับกลายเป็นว่าปัญหานี้ดันหนักกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่มันไม่ควรจะเกิดขึ้นแท้ ๆ

ผลงานการพอร์ตครั้งนี้เป็นของ Nixxes Software เช่นเดิม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ ว่าทำไมก่อนหน้านี้ผลงานอื่น ๆ ก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลยทั้ง Spider-Man ทั้งสองภาคก่อนหน้า Horizon Forbidden West,Ghost of Tsushima ก็รันได้ดีเยี่ยม หรือบางทีแล้วปัญหานี้อาจจะเกิดขึ้นมาตั้งแต่เวอร์ชันดั้งเดิมจาก Insomniac Games แล้วก็เป็นได้

นอกจากนี้เกมเวอร์ชัน PC ก็ยังมีปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกเช่นกัน เช่น Text Sting ที่แสดงผลผิดพลาด ปัญหาเรื่องเสียงที่ขาด ๆ หาย ๆ ในบางช่วง มีการแสดงผลกราฟิกผิดพลาดให้เห็นทั้งเกม เรียกได้ว่าด้วยสภาพนี้มันไม่พร้อมจริง ๆ และต้องใช้เวลานานมากในปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น ซึ่งจนกว่าจะถึงตอนนั้น เราก็ไม่รู้เลยว่า Sony และ Nixxes Software จะได้ทำกันจริง ๆ หรือไม่

แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้น ถ้าหากใครที่เคยเล่นแล้วบน PS5 ผมก็ไม่สามารถแนะนำเวอร์ชัน PC ให้ได้จริง ๆ ส่วนสำหรับสาวกไอแมงมุม PC Gamer เองก็ขอให้รอกันไว้ก่อน หรือไม่ก็ไปเล่นบน PS5 จะได้รับประสบการณ์เล่นที่ดีกว่านี้แน่นอนครับ