Our score
8.2Life Is Strange: Double Exposure
จุดเด่น
- กราฟิกและการนำเสนอดูดีขึ้น
- เกมเพลย์สนุกมีลูกเล่นใหม่
- เนื้อเรื่องเขียนออกมาดีน่าติดตาม
จุดสังเกต
- เกมเพลย์ยังคงเน้นสำรวจที่อาจไม่เหมาะกับทุกคน
-
กราฟิก
8.5
-
เกมเพลย์
8.5
-
ความคุ้มค่า
8.0
-
ภาพรวม
8.0
หากจะพูดถึงเกมแนว Adventure เน้นสำรวจมากกว่าแอ็กชัน และมีการเล่าเรื่องดราม่าไปพร้อมกับพลังเหนือธรรมชาติ เชื่อว่าแฟนเกมต้องมีชื่อของซีรีส์ Life Is Strange อยู่แน่นอน โดยมันไม่ใช่ซีรีส์เกมเก่าแก่อะไรมาก เพราะภาคแรกวางขายในปี 2015 แต่ก็มีการสานต่อออกมาหลายภาค ที่มีทั้งภาคหลักและเนืัอเรื่องเสริมที่มีความโดดเด่นแตกต่างกัน

และภาคใหม่อย่าง Life Is Strange: Double Exposure ที่ยังคงเล่าเรื่องราวของหนึ่งในตัวละครหลักของภาคก่อน และลงทุนใช้ Unreal Engine 5 ในการสร้างแม้รูปแบบการเล่นยังคงเดิมแต่ก็ทำให้มันยังคงน่าสนใจอยู่ โดยภาคนี้วางขายบน PlayStation 5, Xbox Series X/S, Nintendo Switch และบน PC ด้วย

ส่วนเรื่องราวเกิดขึ้นในปี 2023 โดยเราจะได้รับบทเป็น แม็กซ์ คอลฟิลด์ (Max Caulfield) ที่ภาคนี้เธอจะได้ย้ายไปทำงานเป็นช่างภาพที่ มหาวิทยาลัยคาลีดอน ซึ่งเธอได้ละทิ้งพลังในการย้อนเวลาไป แต่แล้วคอลฟิลด์ก็ต้องกลับมาใช้พลังนี้อีกครั้งเนื่องจากเพื่อนรักของเธอได้ถูกฆ่า และทำให้มันทำให้พลังย้อนเวลากลับมาใช้ได้อีกครั้ง จนเข้าไปอยู่ในเส้นเวลาคู่ขนานที่เพื่อนของเธอยังมีชีวิตอยู่ จนทำให้เกิดเรื่องราวที่ซ้อนซ้อนมากกว่าเดิม อย่างไรก็ตามเนื้อเรื่องมีการแอบยัดใส่ความ Woke เข้ามาบ้างแต่ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับเนื้อเรื่องหลัก ถือเป็นอีกเกมที่ Woke ออกมาดี

กราฟิกดูดีขึ้นด้วยขุมพลังใหม่ (ยกเว้นบน Switch)
อย่างที่บอกไปว่า Life Is Strange: Double Exposure ได้ใช้ขุมพลังใหม่อย่าง Unreal Engine 5 ในการสร้างกราฟิกในเกม ทำให้มันออกมาดูดีขึ้นจากภาคก่อน แม้ว่างานออกแบบโดยรวมจะยังคงเหมือนเดิม และก็ไม่ได้ปรับโฉมจนเป็นเกมยุคใหม่ที่มีกราฟิกระดับสูง แต่ก็ถือว่าทำให้งานภาพในภาคนี้ดูดีเล่นลื่นไหลกว่าเดิม อย่างไรก็ตามหากเราเล่นบน Nintendo Switch มันก็ยังคงดูด้อยที่สุด เพราะรายละเอียดถูกลดลงกว่าเวอร์ชันอื่นมาก ก็เป็นไปตามสเปกเครื่องเกม

ส่วนที่โดดเด่นคือการใช้กราฟิกในการเล่าเรื่องที่ทำออกมาได้ดีราวกับเราได้ชมซีรีส์ดี ๆ และยังคงได้ทีมงานพากย์ระดับมืออาชีพมาให้เสียงตัวละครหลัก ทำให้โดยรวมการเล่าเรื่องดีและทำให้เราอินไปกับเรื่องราวสุดดราม่าได้ เช่นเดียวกับเพลงประกอบที่เน้นเรียบ ๆ เพื่อให้เข้ากับเกมเพลย์ที่เน้นสำรวจมากกว่า ซึ่งโดยรวมทำให้ในส่วนของการนำเสนอทั้งกราฟิกและเสียงประกอบทำออกมาดีเหมือนกับภาคก่อน

ส่วนการนำเสนอยังคงทำออกมาดีทั้งการเล่าเรื่อง
หากคุณไม่เคยเล่นซีรีส์ Life Is Strange มาก่อนก็ขออธิบายแนวของเกมสั้น ๆ ว่ามันคือแนว Adventure ที่เน้นสำรวจไม่ได้มีแอ็กชันอะไรมากมาย เราจะได้บังคับตัวละครไปเดินสำรวจฉากเพื่อแก้ปริศนาในด่าน เช่นการค้นหาเบาะแสที่ซ่อนอยู่ในฉาก และมีความโดดเด่นที่มีการใช้พลังพิเศษในการย้อนเวลาเพื่อไปแก้ไขเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ทำให้ซีรีส์ Life Is Strange แตกต่างจากเกมอื่น

ส่วนในภาค Life Is Strange: Double Exposure ยังคงโดดเด่นที่การเล่าเรื่องที่ยังคงเข้มข้น แม้ว่าจะเล่าเรื่องแบบช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป แต่หากตั้งใจชมเนื้อเรื่องที่ผู้สร้างเขียนเข้ามาจะรู้ว่ามันมีสิ่งที่ดึงดูดทำให้เราติดตามไปตลอดเกม แม้ว่ารูปแบบหลัก ๆ ของเกมเพลย์ยังคงเหมือนเดิมที่เกมจะแบ่งเป็นตอน ๆ และเราจะได้สำรวจฉากที่จำกัดไม่ได้กว้างอะไรมากแต่ก็มีอะไรให้สำรวจพอสมควร และยังมีการใช้ระบบถามตอบกับผู้คนในฉากเพื่อหาข้อมูลมาเชื่อมต่อกับเบาะแสที่มีด้วย และแน่นอนว่ามันจะส่งผลกับเรื่องราวที่มีฉากจบหลายแบบ

ระบบพลังพิเศษโดดเด่นและซับซ้อนกว่าเดิม
สิ่งที่เป็นจุดเด่นของเกม Life is Strange อย่างพลังพิเศษย้อนเวลาก็ยังคงมีอยู่ ที่ตัวเอกคอลฟิลด์จะสามารถย้อนเวลาได้ และภาคนี้จะอัปเกรดเพราะเราจะสามารถเปิดมิติไปไทม์ไลน์ใหม่ได้เลย โดยจะเป็นเส้นเวลาใหม่ที่เพื่อนของเรายังไม่ตาย และเราจะต้องออกไปค้นหาความจริงว่าใครเป็นคนร้าย ผ่านการค้นหาความจริงของทั้ง 2 ไทม์ไลน์ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของภาคนี้ เพราะมันจะมีความซับซ้อนกว่าภาคก่อน

นอกจากนี้เรายังมีพลังใหม่ที่มีการค้นพบการเชื่อมต่อกันระหว่างไอเทมของแต่ละเส้นเวลาที่แตกต่างกัน ที่มันจะช่วยในการแก้ไขปริศนาและไว้หาตัวคนร้ายได้ ซึ่งทำให้เกมเพลย์สนุกมากขึ้น และความโดดเด่นคือรูปแบบการเล่นของเกมยังคงเดิมทำให้เข้าใจง่ายมาก แต่ก็มีข้อเสียที่การนำเสนอแบบเรียบ ๆ ไม่ได้หวือหวาอะไรแม้จะมีฉากที่ชวนตื่นเต้นหรือแอ็กชันอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากนัก ดังนั้นใครจะมาเล่นซีรีส์นี้ก็ต้องทำความเข้าใจในรูปแบบการเล่นจะสนุกไปกับเกมเพลย์ได้จนจบ

การกลับมาของเกม Life Is Strange: Double Exposure ถือว่ายังเป็นอีกภาคที่มีความโดดเด่นในรูปแบบการเล่นที่เสริมด้วยการข้ามมิติทะลุเวลาเข้าไป รวมทั้งการเล่าเรื่องที่ยังคงทำได้ดีน่าติดตาม แม้ว่าเกมเพลย์ยังคงเน้นสำรวจและไม่ได้มีความรวดเร็วอะไรนัก แต่มันยังคงมีอะไรให้ค้นหาอยู่ อย่างไรก็ตามหากไม่เคยเล่นมาก่อนก็อยากให้ลองไปหาภาคเก่า ๆ มาเล่นก่อนเพราะจะได้เข้าใจสิ่งที่ผู้สร้างสื่อสารไว้มากกว่า โดยรวมแล้วเป็นอีกภาคที่ยังคงทำออกมาได้ดีงามตามมาตรฐานเดิมของซีรีส์ Life Is Strange