[Review] DARK SOULS III The Fire Fades Edition ปิดตำนานผู้กล้าแห่งกองไฟ
Our score
9.0

Dark Souls 3 The Fire Fades Edition

จุดเด่น

  1. เนื้อหาเยอะ คุ้มค่า
  2. คุณภาพของบอส
  3. ความหลากหลายของอาวุธ
  4. ความท้าทายหลายระดับ
  5. งานออกแบบศิลป์

จุดสังเกต

  1. เฟรมเรตไม่เสถียร
  2. ความไม่สมดุลของอาวุธและเวทมนตร์
  • กราฟิก และงานออกแบบ

    9.0

  • เกมเพลย์

    9.0

  • ความแปลกใหม่

    8.5

  • ความคุ้มค่า

    9.5

  • ภาพรวม

    9.0

Dark Souls 3 The Fire Fades Edition เป็นเกมเวอร์ชั่นสมบูรณ์ ที่รวมเอาตัวเกมหลักและ DLC ทั้งสองตอน (Ashes of Ariandel และ The Ringed City) ไว้ด้วยกันในแพคเกจเดียว วางจำหน่ายบน PS4, Xbox One และ PC ทำให้แผ่นเวอร์ชั่นนี้เป็นเวอร์ชั่นที่ให้ประสบการณ์การเล่นแบบครบถ้วน สำหรับเกมภาคนี้ก็สร้างสรรค์โดย FromSoftware เจ้าเก่า กุมบังเหียนการพัฒนาโดยผู้กำกับฮิเดทากะ มิยาซากิ ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดซีรีส์ ด้วยความตั้งใจของผกก.มิยาซากิที่จะให้เกมภาคนี้เป็นภาคสุดท้าย นอกจากเนื้อเรื่องที่ดำเนินมาถึงบทสรุปแล้ว ทีมงานก็มุ่งมั่นที่จะรังสรรค์เกมเพลย์ภาคนี้ให้ลงตัวที่สุด ด้วยเนื้อหาที่ยาวสะใจร่วม 50 ชั่วโมงในการเล่นรอบแรกเพียงอย่างเดียว (หากต้องการเก็บรายละเอียดให้ครบก็อาจจะพุ่งไปถึง 100 ชั่วโมง) ว่าแล้วก็มาดูกันว่าในแต่ละด้านนั้นมีแง่มุมใดที่ควรค่าแก่การพูดถึง


STORY


เนื้อหาของเกมดำเนินไปด้วยจังหวะแบบเดิมที่คุ้นเคย ตัวเอกตื่นขึ้นมาในโลกที่กำลังล่มสลายพร้อมภารกิจกอบกู้โลกผ่านการเดินทางไปตามหา Lords of Cinder ทั้งสี่ตนกลับมายังบัลลังก์เพื่อกำหนดชะตาของโลกด้วยการเลือกว่าจะต่อชีวิตแห่งไฟหรือทิ้งให้โลกจมสู่ความมืดมิด


สำหรับตัวเกมหลัก พล็อตที่เรียบง่ายของ Dark Souls ภาคแรกถูกนำมาใช้ต่ออีกครั้ง (ผู้กล้าไร้ชื่อออกเดินทางเพื่อต่อกรกับปิศาจร้ายทั้ง4) จนก้ำกึ่งระหว่างความคลาสสิกกับความซ้ำซาก แต่เนื้อหารายทางและเควสของตัวละครแต่ละตัว ก็ทำให้เนื้อเรื่องของ Dark Souls 3 มีจุดยืนที่แตกต่างจากเกมอื่นในซีรีส์เดียวกัน 

วิญญาณที่ยิ่งใหญ่ทั้ง 4ในภาคนี้เป็นวิญญาณของ Lord of Cinder หรือคำเรียกต้นฉบับคือ 薪の王 แปลตามความหมายตรงๆของเวอร์ชั่นญี่ปุ่นได้ว่า ‘ราชาแห่งฟืน’ เป็นผู้ที่มีพลังแกร่งกล้าพร้อมจะชี้ชะตาโลก (เหมือนฟืนไฟที่สามารถยืดเวลาเผาผลาญของเปลวเพลิง) แต่กลับปฏิเสธหน้าที่นี้  ตัวเอกจึงต้องออกตามล่าและครอบครองวิญญาณเหล่านั้นเพื่อเปิดทางไปยัง Klin of the first flame และเลือกชะตากรรมของโลกด้วยตัวเอง

ในส่วนของตอนเสริม Ashes of Ariandel และ The Ringed City ทั้งสอง DLC มีเนื้อหาต่อเนื่องกันโดยเป็นเรื่องราวใหม่ที่แยกออกไปจากเกมหลัก จะเล่นระหว่างเนื้อหาหลักหรือหลังจบเกมแล้วก็ได้ ใน DLC ชุดนี้เราจะได้พบกับ สาวน้อยนักวาดภาพนิรนาม ผู้รังสรรค์โลกแห่งรูปภาพให้เป็นที่หลบภัยอันโหดร้ายจากโลกภายนอก และ ‘เกล’ อัศวินเฒ่าผู้ตามหาสีในตำนาน สีที่จะทำให้รูปภาพของหลานสาวมีชีวิตขึ้นมาได้ สีที่เรียกว่า’ดาร์คโซล’…

ทั้ง NPC และก็บอสในภาคนี้ มีการปูเรื่องให้เข้าใจที่มาและก็มีบทสรุปในตัวมันเอง ผ่านการเล่าเรื่องแบบ minimal ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์ไปแล้ว ภูมิหลังของบอสแทบทั้งหมดใน Dark Souls 3 เป็นเรื่องราวที่สดใหม่ ทั้งรูปร่างหน้าตาและความเป็นมา ไม่ใช่ตัวนู้นตัวนี้กลับชาติมาเกิดแบบ Dark Souls 2 เรื่องราวของบอสและ NPC ก็มีครบรสทุกอารมณ์ เศร้า ซึ้ง ระทึก ชิงชัง ส่วนบอสที่เคยมีเนื้อเรื่องกล่าวถึงในภาคเก่าเพียงแค่ชื่อหลายครั้ง ก็ได้มาโชว์ตัวในภาคนี้เสียที ถือว่าคลี่คลายประเด็นที่ค้างคาใจไปได้ในที่สุด

แม้จะไม่จำเป็นต้องเล่นภาคอื่นมาก่อนก็เข้าใจเนื้อหาได้ แต่การรู้เนื้อหาเก่ามาก่อนบ้างก็จะทำให้คุณฟินขึ้นหลายเท่ายามเจอความลับต่างๆ  โดยรวมแล้วทำให้บอสใน Dark Souls 3 The Fire Fades Edition มีทั้งคุณภาพและปริมาณที่จะไม่ทำให้ผิดหวัง


GAMEPLAY


ระบบการเล่นของ Dark Souls 3 ยังคงเป็น Action RPG ที่เน้นความรอบคอบและเยือกเย็น ทุกแอคชั่นใช้สตามิน่า ทุกท่วงท่ามีน้ำหนัก การกดปุ่มโจมตีมั่วๆโดยไม่คิดจะนำมาซึ่งความตาย แม้จะมีการเคลื่อนไหวที่ฉับไวรวดเร็วกว่า Dark Souls 1 แต่ก็ยังมีระบบคิดน้ำหนักของอุปกรณ์ที่สวมใส่ เพิ่มความสมจริง แบกของเยอะจะกลิ้งช้า อาวุธใหญ่ก็ออกท่าช้า ทำให้การเล่นโดยรวมจะฉับไวขึ้นมากแต่ก็ยังต้องระวังตัวและเล่นแบบเพลย์เซฟ เรียนรู้ท่าโจมตีของศัตรู และกะจังหวะการออกท่าโจมตีให้เหมาะสม มีการนำระบบดีๆ บางอย่างของ Dark Souls 2 มาใช้ด้วย เช่น การเตะการ์ดศัตรูให้แตกแล้วทำคริติคอลฮิต,การกินยาหรือการออกท่าโจมตีระหว่างไต่บันได

ระบบเฉพาะของภาคนี้ที่เพิ่มเข้ามาคือ ‘Weapon Art’ เป็นการใช้ท่าพิเศษของอาวุธแต่ละอันที่ต่างกัน ซึ่งจะคล้ายกับท่าโจมตีอันหวือหวาของ Trick Weapon ใน Bloodborne แม้จะไม่ละเอียดซับซ้อนเท่า แต่ก็ช่วยเพิ่มมิติการเล่นให้ได้มากโข และจำนวนอาวุธที่มีท่วมท้น (อาวุธทั้งหมดร่วมสองร้อยชิ้น) ก็ส่งเสริมให้สร้างรูปแบบในการเล่นได้อย่างอิสระตามสไตล์การเล่นของแต่ละคน ตอกย้ำจุดแข็งของ Dark Souls ที่มีอาวุธ/เครื่องแต่งกายครบครันเพิ่มความคุ้มค่าในการเล่นซ้ำได้เป็นอย่างดี คงจะถูกใจคนที่ขี้เบื่อและคนที่ชอบเปลี่ยนสไตล์การเล่นค้นหาความแปลกใหม่

เวทมนตร์,ไพโร (เวทย์ไฟ) และมิราเคิลภาคนี้ก็มีจำนวนให้ใช้มากมาย ทั้งบัฟ ดีบัฟ สร้างดาเมจระยะใกล้ ระยะไกล แต่จุดโหว่ของระบบเวทมนตร์ครั้งนี้ก็คือการร่ายที่ช้าเท่าภาคเก่า ทว่าศัตรูไวขึ้น…ก็เละสิคะ จากแต่เดิมที่สายแคสเตอร์จะเป็น easy mode มาทีนี้กลายเป็น hard mode ซะอย่างนั้น ใครคิดจะเล่นเวทย์แบบเดิมๆแล้วเดินชิลทั้งเกมบอกได้เลยว่ารุ่งริ่ง ต้องแบ่งขวดยาฟื้น HP มาเป็นขวดยาฟื้น MP อีก กว่าจะได้ลืมตาอ้าปากพอหายเหนื่อยก็ท้ายเกมนู่น เล่นยากกว่าสายบ้าพลังฟันดะเยอะ ภาคนี้ความเก่งของแต่ละสายจึงไม่สมดุลกันเท่าไหร่


ในด้านของการออกแบบเส้นทางการเล่น (การวางอุปสรรค,กับดัก,จุดเชื่อมต่อระหว่างฉาก,ตำแหน่งศัตรู)  เราคิดว่าภาคนี้ออกแบบมาได้ดีที่สุดในทุกภาค ทั้งด้านคุณภาพและปริมาณ แต่ตัวเกมจะดำเนินเรื่องค่อนข้างเป็นเส้นตรง ไม่เหมือนภาคแรกที่เริ่มมาก็เปิดทางเลือกไปได้4-5 ทางแล้ว ใน Dark Souls 3 ทางหลักจะแบ่งออกไม่เกินสองทาง แต่ว่าในแต่ละฉากมีทางแยกเล็กๆ เยอะย่อยเต็มไปหมด ทางลับทางซ่อนเหล่านี้ เมื่อสำรวจแล้วก็จะวนมาบรรจบกัน หรือเปิดทางลัดกลับไปยังกองไฟได้แบบชาญฉลาด เป็นจุดที่เราชอบเกือบจะที่สุดของซีรีส์นี้ คือการให้รางวัลกับคนที่ช่างสำรวจ

สำหรับกองไฟที่ทำหน้าที่เสมือนจุดปลอดภัย ภาคนี้ก็มีเยอะมาก เยอะจนจำไม่ได้ว่าอันไหนเป็นอันไหน แล้วจุดที่วางบางทีก็แปลกๆ บางอันเดินแป๊บๆ เจอไม่ถึง 3 นาที บางอันเดินขาลากน้ำตาจะไหล และมีประเด็นเรื่องการวาร์ปได้ตั้งแต่ต้นเกม ทำให้มีข้อเสียเหมือนภาคสอง คือการเดินทางขาดความต่อเนื่อง ไม่ได้อารมณ์ผจญวิบากกรรมของภาคแรก มองอีกด้านก็คือสะดวกขึ้น ผู้เล่นใหม่ๆเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

‘ความยาก’ ผกก.เองเคยบอกหลายครั้งว่าไม่ได้เจตนาสร้างเกมยาก เจตนาจะสร้างเกมที่ท้าทายต่างหาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความยากเป็นประเด็นหลักที่คนสนใจกัน ในภาคนี้ความโหดร้ายของบอสในเกมหลักดูจะเบาบางเมื่อเทียบกับภาคอื่นๆ เป็นเพราะผู้เล่นขาประจำได้ฝึกตายกันมาหลายภาคแล้ว มุกเดิมๆ น่ะใช้ไม่ได้ผลหรอกนะ!

แต่ความมั่นใจนั่นก็ต้องพังทลายไปทันทีเมื่อได้พานพบกับเหล่าบอสใน Ashes of Ariandel และ The Ringed City ที่ทารุณจนต้องกลืนน้ำลายหลายอึก สำหรับคนที่ต้องการความท้าทาย เหล่าบอสจาก DLC จะตอบโจทย์คุณได้อย่างแน่นอน รวมไปถึงศัตรูรายทางท้ายเกมและผู้บุกรุกตัวแดงของภาคนี้ ซึ่งก็ถือว่าโหดสะบัด AI ฉลาดขึ้นมาก มีแพร์รี่ มีหลอกดัก ไม่ปล่อยให้ผู้เล่นกินยาสบายๆแล้ว สำหรับคนเล่นไม่เก่งมากนัก ก็มีโหมดออนไลน์คอยช่วยเหลือให้คุณภาพชีวิตในเกมดีขึ้น มีคำเตือนหรือคำใบ้ที่ผู้อื่นเขียนไว้ให้ตามพื้น และก็สามารถจะเรียกผู้เล่นคนอื่นมาช่วยได้ด้วย

สาย PvP ก็ชื่นใจได้กับระบบโคเวอร์แนนท์ภาคนี้ที่ต่อยอดจากภาค2 มีทั้งสายกัลยาณมิตร สายฆาตกร สายคนบ้าตีใครก็ได้ PvP กันนัวมาก แต่ละโคเวอร์แนนท์ที่อยู่ก็จะมีให้อัพแรงค์แลกเวทย์และของเหมือนเดิม และมีฉากลานประลองโดยเฉพาะ ให้จับกลุ่มสู้กัน ทั้งแบบทีม ดวลเดี่ยว หรือแม้แต่ลุยมั่วหาผู้ชนะคนเดียว ก็เป็นอีกทางเลือกที่สะดวกดีสำหรับคนชอบเล่น PvP


GRAPHIC


ทิวทัศน์เดิมๆ ที่คุ้นเคยของเกมตระกูลนี้ก็มีมาครบ ปราสาทยุคกลาง เกราะอัศวินแวววาว คราบเลือด หนองบึงโสโครก และฉากแฟนตาซีตระการตา ช่วยเติมเต็มความอยากเสพบรรยากาศดาร์คแฟนตาซีได้อย่างอิ่มเอม ความเสถียรของกราฟฟิกบนเครื่อง PS4 ก็เรียกได้ว่าพอทน…เฟรมเรตปรกติจะคงที่ที่ 30fps แต่อาจจะมีตกหล่นไปบ้างเมื่อเจอฉากปล่อยของ

แม้จะมีจุดสังเกตที่ทำให้แอบเซ็ง คือการรียูสของประกอบฉากมาจาก Bloodborne เยอะพอสมควร บางจุดนี่งงๆว่าเล่นเกมไหนอยู่ นึกว่าเดินอยู่ในสุสานแฮมวิก  แต่แนวทางการกำกับศิลป์ก็ยังคงเป็นจุดแข็งของทีม FromSoftware ฉากที่ชวนหดหู่แต่สวยงามจะเค้นเอาความรู้สึกเหงาเศร้า ให้ผู้เล่นอินไปกับบรรยากาศรอบตัวได้หลายครั้งหลายครา


OVERALL


เดิมทีนั้น Dark Souls 3 คือการรวมฮิตลูกเล่นทุกแง่มุมของทุกภาคที่ผ่านมา จะได้เจอกิมมิคเก่าจากทุกภาคตั้งแต่ Demon’s Souls ยัน Bloodborne ไม่ว่าจะเป็นศัตรู กลยุทธ์ อาวุธ เป็นภาคต่อที่พยายามตอบรับความคาดหวังของแฟนๆทุกภาค สำหรับแฟนซีรีส์แล้ว จุดว้าวจุดประทับใจหลายๆจุด จึงเป็นจุดที่เกิดขึ้นจากการเล่นภาคเก่ามาก่อน (ประมาณว่า nostalgia) จนทำให้ในตอนทีมีแค่เกมหลัก ยังมีเอกลักษณ์ที่เป็นตัวของตัวเองน้อย ไม่รู้สึกแปลกใหม่เท่าไหร่นัก

แต่ Dark Souls 3 The Fire Fades Edition ก็มากลบจุดด้อยส่วนนั้นด้วยการเพิ่มเนื้อหาใหม่ๆเข้าไปทั้งในด้านเนื้อเรื่องและเกมเพลย์ เพิ่มสิ่งที่น่าจดใจให้กับซีรีส์โดยเฉพาะเหล่าบอสโหดใน DLC ที่จะเค้นความมันกันแบบถึงใจ สำหรับคนที่ไม่เคยเล่นเกมตระกูลนี้มาก่อน แต่สนใจที่จะสัมผัสประการณ์ดูบ้าง The Fire Fades Edition ก็เป็นภาคที่เหมาะสมที่จะลอง เพราะมีเนื้อหาสมบูรณ์ สอบผ่านมาตรฐานของซีรีส์ ไม่มีจุดเผา ระบบต่างๆก็ผ่านการขัดเกลามาหมดแล้วจากภาคเก่าๆ ส่วนคนที่เป็นแฟนภาคเก่าแต่ยังไม่เคยเล่นภาค 3 ก็ควรที่จะไปหาแพคเกจนี้มาเล่นกัน เพราะเนื้อหาที่เพิ่มเติมมาใน Ashes of Ariandel และ The Ringed City นั้นมีดีเกินกว่าจะมองข้ามแน่นอน