Our score
8.5Stardew Valley
จุดเด่น
- เล่นนอกบ้านได้
- เกมเพลย์สนุกเข้าใจง่าย
- มีอะไรให้ทำมากมาย
- ราคาไม่แพง
จุดสังเกต
- ไม่มี Mod
- ยังพบ Bug ในหลายจุด
-
กราฟิก
7.5
-
เกมเพลย์
9.0
-
ความคุ้มค่า
9.0
-
ความแปลกใหม่
8.0
-
ภาพรวม
9.0
ในยุคก่อนหากจะพูดถึงเกมปลูกผักทำไร่คอเกมส่วนใหญ่คงคิดถึงเกม ฮาเวสมูน แต่ในยุคนี้ไม่มีอะไรแรงเท่ากับ Stardew Valley ที่ออกวางขายบน PC เมื่อปี 2016 และด้วยความแรงจึงเป็นที่มาของเวอร์ชั่นคอนโซล ที่ล่าสุดเพิ่งจะออกบน Nintendo Switch ตามคำเรียกร้องของแฟนๆ (เกมออกบน PC , PS4 , XboxOne ด้วย)
โดยพื้นฐานเกม Stardew Valley คือเกมปลูกผักทำไร่ ที่ถูกสร้างด้วยกราฟิกแนวย้อนยุคแบบดอทพิกเซล ที่เหมือนกับเกมในยุค 16 Bit แบบสมัยซูเปอร์แฟมิคอม ที่เป็นยุคที่เกม ฮาเวสมูน ถือกำเนิด งานออกแบบดูคล้ายกับเกม RPG ในอดีตอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ต้องชมคือสีสันและรายละเอียดในเกมที่ผู้สร้างใส่ใจอย่างมาก ทำให้การท่องไปในโลกของเกมมีความสนุก และมีอะไรให้คนช่างสังเกตได้ค้นหาเพียบ อย่างไรก็ตามแม้กราฟิกจะเป็น 16 Bit แต่เพลงประกอบไม่ได้ย้อนยุคตาม ทำให้เราได้เสพดนตรีประกอบที่เข้ากับตัวเกมและช่วยเสริมบรรยากาศได้อย่างลงตัวและยังมีการปรับเปลี่ยนไปตลอดเกม
แม้ว่าภาพของเกมและโลกที่อาจจะดูย้อนยุคแต่พอได้สัมผัสคุณจะพบว่าในโลกกว้างๆ ของเกมมีอะไรให้ทำเยอะมากจนแทบบรรยายไม่หมด ซึ่งโดยพื้นฐานของเกมจะไม่ได้แตกต่างจากเกมปลูกผักทำไร่ทั่วไป ที่เราต้องลงแรงพรวนดินปลูกพืช แต่เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชนิดของพืชที่หลากหลาย และต้องเปลี่ยนการเพาะปลูกไปตามฤดูกาล แล้วยังมีการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆได้มากมายกว่าแค่สร้างบ้าน หากคุณมีเวลาพอก็จะสร้างไร่สร้างสวนขนาดใหญ่ได้ ด้วยการรวบรวมวัตถุดิบในฉากมาสร้าง
และไม่ใช่แค่ปลูกผักทำไร่ เกมยังกิจกรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงสัตว์ , การตกปลา , การสานสายสัมพันธ์กับตัวละครในเมืองที่จะสานต่อไปจนถึงการแต่งงานได้ หรือใครอยากออกท่องโลกเพื่อออกล่าหาของแปลก และเก็บของป่า หรือลงไปทำเหมืองที่ลึกเป็นร้อยชั้นได้ แถมยังต้องต่อสู้กับมอนสตอร์แบบเกมแอ็คชั่นตะลุยดันเจียนที่ทำออกมาได้น่าทึ่งเพราะมีความท้าทายที่สนุกไม่แพ้เกมแอ็คชั่นแท้ๆ เช่นเดียวกับการใส่ใจในรายละเอียดของเกมทำให้เราต้องคิดให้ดีเวลาจะทำอะไรไปเพราะมันจะส่งผลกระทบต่อการสานสัมพันธ์ เช่นหากเราหาของในถังขยะแล้วมีคนมาพบเห็น เขาจะรู้สึกติดลบกับเรา
อย่างไรก็ตามแม้จะมีกิจกรรมให้ทำมากมาย แต่เราก็ต้องคำนึงถึงเวลาที่เดินไปเรื่อยๆ และยังมีค่าพลังความอึด ที่เมื่อเราทำกิจกรรมก็จะลดลงเรื่อยๆ แต่จะเติมได้ด้วยการกินอาหาร นอกจากนี้ยังมีค่าพลัง HP ที่ใช้ตอนเราต่อสู้กับศัตรู ทำให้การเล่นเราต้องคิดวางแผนกันตลอด เพราะหากไม่มีวางแผนกันดีๆใน 1 วันก็อาจจะทำกิจกรรมได้ไม่กี่อย่าง และอย่าคิดว่าอดนอนทำงานจะได้ดีเพราะหากเรานอนดึกเกินไป ก็จะส่งผลต่อค่าพลังในอีกวันด้วย
นอกจากนี้ยังมีระบบพัฒนาตัวละครแบบเกม RPG ที่มีการอัพเดทค่าพลังอย่าง การทำฟาร์ม , สายหาของ , ทำเหมือง , ตกปลา และ ต่อสู้ ที่หากเราทำกิจกรรมแบบไหนมากๆค่าพลังในส่วนนั้นก็จะอัพเกรดขึ้นตาม อย่างไรตาม แม้จะดูยุ่งยากแต่พอได้เล่นจริงๆทุกอย่างไม่ได้ซับซ้อน เล่นง่ายทำให้เราสนุกไปกับเกมที่เต็มไปด้วยรายละเอียดได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด และโดดเกมดูดเวลาไปโดยไม่รู้ตัวจนเล่นโต้รุ่งจนถึงเช้าได้
และเกมที่นำมารีวิวเป็นเวอร์ชั่น Nintendo Switch ทำให้เชื่อว่าหลายคนคงมีคำถามว่ามันจะแตกต่างและเล่นถนัดเหมือนกับ PC หรือไม่ ก็ขอบอกได้เลยว่า การเล่น Stardew Valley บน Switch ถือว่าสะดวกและลื่นไหลมาก ไล่ตั้งแต่การปรับมาใช้ปุ่มกด ที่มีการใช้ประโยชน์ของปุ่มได้ลงตัว โดยเฉพาะการใช้ปุ่ม ZL และ ZR ในการเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ทำได้ลื่นไหลดี
โดยการบังคับตัวละครจะใช้แกนอนาล็อกซ้ายบังคับ ส่วน แกนอนาล็อกขวา บังคับลูกศร แทนเมาส์ ที่น่าแปลกใจเล็กน้อยคือตัวเกมจะไม่ใช้หน้าจอสัมผัสในการเล่น และมีการใช้ระบบสั่นของ Joy-con แต่ดูเหมือนจะสั่นเบาไปหน่อยเมื่อเทียบกับเกมอื่น แต่ก็ช่วยเสริมให้มันแตกต่างจากเวอร์ชั่นอื่น และแน่นอนว่าข้อดีอย่างมากของเวอร์ชั่น Nintendo Switch คือการนำไปเล่นนอกบ้านได้ ซึ่งมันก็ทำหน้าที่ได้ดีและกราฟิกแบบนี้เมื่อมาอยู่บนหน้าจอของ Switch ถือว่าดูดีมาก และต่อให้อยู่บนหน้าจอ Full HD ของทีวียุคใหม่ก็ยังดูสวยงามแบบ 16 Bit ส่วนหากคุณเล่นบน PC อยู่แล้วก็อาจจะไม่เหมาะเท่าไร เพราะมันอาจจะไม่ได้มีอะไรใหม่มากท่าที่ควร แถมในตอนนี้ยังมีการพบเจอ Bug ของเกมอยู่หลายจุดก็ต้องรอให้ทีมงานออกตัวอัพเดทมาแก้ และแน่นอนว่ามันไม่รองรับ Mod ด้วย แต่หากอยากเอาไปเล่นนอกบ้านแบบถนัดๆ ก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่
การมาของเกม Stardew Valley บน Nintendo Switch ถือว่าเป็นการมาถูกที่ถูกทาง เพราะด้วยแนวทางของเกมที่เข้ากับเครื่อง การปรับเปลี่ยนมาใช้ปุ่มกดที่ลงตัว รองรับระบบสั่น และสามารถพกพาไปเล่นนอกบ้านได้ ยิ่งเทียบกับราคาเกมที่ไม่ได้แพงเท่าไร ทำให้มันคุ้มค่าและเป็นอีกเกมที่เจ้าของ Nintendo Switch ควรโหลดมาติดเครื่องไว้ (แนะนำให้ซื้อโซน เม็กซิโก ถูกที่สุด) และรับประกันได้เลยว่ามันจะเป็นเกมดูดเวลาที่พกไปเล่นได้ทุกที่ทุกเวลา