[Review] Wolfenstein II: The New Colossus มหกรรมเดือด ฉลองเลือดนาซีครั้งที่ 2
Our score
8.8

Wolfenstein II: The New Colossus

จุดเด่น

  1. โครตเดือด 2017 คุณจะได้สัมผัสกับสุดยอดการ Action ฆ่าเหล่านาซีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก
  2. เนื้อเรื่องที่ยอดเยี่ยม น่าติดตาม แทบจะทำให้ไม่อยากลุกจากเก้าอี้
  3. Graphics สวยงาม น่าพอใจ
  4. มีความคุ้มค่าในระดับนึง สำหรับเกมที่เน้นการเล่นแต่ Single Player

จุดสังเกต

  1. Optimize มาได้แย่
  2. เพลงประกอบฉากที่ไม่ดีเท่าไรนัก
  • GAMEPLAY

    10.0

  • STORY

    10.0

  • GRAPHICS

    9.0

  • PERFORMANCE

    7.0

  • VALUE

    8.0

ย้อนไปในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เราเคยลองคิดดูบ้างไหมว่าถ้าหากนาซีเยอรมนีเป็นฝ่ายชนะสงคราม โลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร หากฮิตเลอร์ยังไม่ตาย และวิวัฒนาการทางการทหารของนาซีเยอรมันนั้นล้ำหน้าไปมากกว่าโลกอย่างที่พวกเราคุ้นเคย ทั้งหมดนี้เหล่าเกมเมอร์จะได้พบเจอในซีรี่ส์ Wolfenstein เกมเดินหน้ายิงเกมแรกของโลก โดยมีตัวละครที่อยู่คู่กับซีรี่ส์นี้มาตลอดเกือบ 30 ปี อย่าง William Joseph B.J. Blazkowicz ที่โครตอึดและตายยากเป็นพระเอกประจำเกือบทุกภาค จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของเกมนี้ไป

พระเอกตลอดกาล B.J. Blazkowicz

ในปี 2014 Wolfenstein: The New Order ได้วางจำหน่ายออกสู่สายตาชาวโลกหลังจากหายไปเกือบ 5 ปีจากภาคสุดท้ายที่ออกมาในปี 2009 ตัวเกมได้รับคำชมมากมายจากทั้งสื่อสำนักรีวิว และเกมเมอร์ทั่วโลก ด้วยการที่ตัวเกมนั้นผสมผสานความเป็น Retro-FPS เข้ากับ Modern-FPS ได้อย่างลงตัว และที่สำคัญคือยังคงความเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของซีรี่ส์ Wolfenstein เอาไว้ได้อย่างดีมากๆ จนทำให้เกมเมอร์ยุคใหม่ๆหันมาสนใจซีรี่ส์นี้มากยิ่งขึ้น

หลังจากรอภาคต่อกันมานานแสนนาน Wolfenstein II: The New Colossus ก็ได้คลอดออกมาเสียที หลังจากในฉากจบของภาคแรกที่ทิ้งท้ายเอาไว้แบบ Cliffhanger กลับมาครั้งนี้เปิดมาฉากแรกตัวเกมก็จะเล่าถึงเหตุการณ์ของภาคที่แล้วตั้งแต่ต้นยันจบเลยครับ แล้วตัวเกมก็จะดำเนินต่อในฉากนั้นทันที ใครที่ไม่เคยเล่นภาคแรกมา และมาเริ่มเล่นจากภาคนี้ก็จะสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก แต่อย่างไรก็ตามผมแนะนำว่าให้หาภาคแรกมาเล่นก่อนจะเป็นการดีที่สุดครับ


Back in Action


“บรรยายสรุปเหตุการณ์ในภาค The New Order ทั้งหมด”

B.J. Blazkowicz ตื่นขึ้นมาหลังจากหลับไปจากอาการโคม่า 5 เดือนในเรือ U-BOAT (Eva’s Hammer) ฐานบัญชาการจากภาคที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่เหล่าทหารนาซี ที่นำทัพโดยนายพล Frau Engel ที่มันดันรอดตายมาในภาคแรก คอยตามล้างแค้น B.J. แต่เนื่องจากว่าแรงระเบิดจากภาคแรกทำให้เขาไม่สามารถเดินได้ เขาจึงต้องใช้รถเข็น ในฉากแรกที่ผมชอบมากๆก็น่าจะเป็นการที่ตัวเอกนั่งรถเข็น Wheelchair พร้อมกับถือปืนกลคอยไล่ยิงพวกทหารนาซีนี่ล่ะครับ คือมันไม่มีอะไรจะ Bad Ass เท่านี้อีกแล้ว

“ถึงแม้จะพิการ แต่ก็ไม่มีอะไรมาหยุดเขาได้”

จากนั้นก็มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่ทำให้ B.J. มาใส่ชุดเกราะ Da’at Yichud Power Suit ที่เคยเป็นของ Caroline ทำให้เขาสามารถเอาตัวรอดออกมาจากการไล่ล่าของทหารนาซีได้ และหลบหนีไปพร้อมกับพรรคพวกของเขาและเรือ U-BOAT Eva’s Hammer

“Frau Engel ตัวร้ายหลักประจำภาค ที่มันดันรอดมาจากภาคแรก”

ต้องขอบอกผู้เล่นเลยครับว่าเนื้อเรื่องภายในเกมนี้มันทั้งสนุก ตื่นเต้น ยากที่จะคาดเดา มีความน่าติดตาม พลิกแพลงตลอดเวลา และอีกสารพัดที่ผมไม่ควรจะพูดถึงเนื้อเรื่องในเกมไปมากกว่านี้ได้ แต่ต้องบอกเลยว่า 15 ชั่วโมงที่ผมใช้เวลากับเกมนี้มาในระดับความยาก “Do or Die'” เนี่ยมันคุ้มมากๆ อีกทั้งยังรู้สึกอีกว่าตัวเองไม่ได้สนุกกับเกม Single Player แบบนี้มานานมากแล้ว

“การเล่าเรืองผ่าน Cutscreen ระดับภาพยนตร์”

ตัวเกมใช้การเล่าเรื่องผ่าน Cutscreen ตัดสลับกับมุมมองของผู้เล่นเอง และที่น่าชื่นชมไปกว่านั้นคือมันทำออกมาได้โครตจะลื่นไหลมาก ในขณะเดียวกันในฉากที่ผู้เล่นเป็นคนบังคับตัวละครเอง ก็มีจะเนื้อเรื่องเสริมจากเหตุการณ์ตามฉากต่างๆให้เราได้รู้สึกและอินไปกับมันตลอดเวลาทั้งเกมด้วยครับ

“Dialogue และ voice Acting ระดับเทพ”

อีกสิ่งนึงที่ผมประทับใจมากที่สุดก็คือ Dialogue และ Voice Acting ของตัวเกมที่ทำมาได้ยอดเยี่ยมไร้ที่ติราวกับกำลังได้รับชมภาพยนตร์ดีๆอยู่เรื่องนึงเลยทีเดียว ตลอดทั้งเกมผู้เล่นจะได้พบเจอคำพูดตลกโปกฮ่า คำพูดล้อเลียนระหว่างตัวละครหลายๆตัว คำพูดปลุกขวัญกำลังใจ คําสบถที่เพิ่มเข้ามาได้อย่างมีชั้นเชิง และอย่างที่บอกไปว่า Voice Acting นั้นทำออกมาได้ดี ผู้เล่นจะเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครแต่ละตัวได้เป็นอย่างดีเลยล่ะครับ


Shoot ‘Em All


“ระบบ Upgrade Weapon ที่ได้รับการปรับปรุง”

พูดถึงในเรื่องของ Gameplay กันบ้าง หลักๆแล้วก็ยังคงเหมือนภาค The New Order เกือบทุกอย่าง แต่มีการปรับปรุงระบบ Upgrade Weapon ให้ดีขึ้น จากที่ภาคที่แล้วผู้เล่นสามารถ Upgrade อาวุธของตัวเองได้แค่ไม่กี่ชนิด อีกทั้งกว่าจะ Upgrade ได้ก็ต้องเล่นไปตาม Progress ของเกมอีก แต่ในภาคนี้ระหว่างเล่นเราจะสามารถเก็บ Upgrade Kit ได้ตามฉากต่างๆ และเราสามารถนำเอามา Upgrade อาวุธของเราได้ทุกชนิด โดยแต่ชนิดก็จะมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป

“ศัตรูที่เป็นหุนยนต์ ต้องเจอปืนกลใส่กระสุนเจาะเกราะนี่ล่ะ”

โดยที่ผู้เล่นจะเลือกได้ว่าจะ Upgrade ในส่วนไหนก่อน และสามารถเปลี่ยนสภาพไปตามความต้องการของผู้เล่นเองได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่นปืนกลเบา ที่สามารถเปลี่ยนรูปแบบให้กลายเป็นปืน Nail Gun ที่จะยิงได้รุนแรงกว่า แต่ต้องแลกกับกระสุนที่จะเคลื่อนที่ช้ากว่านั้นเองครับ รวมไปถึงปืนลูกซอง ที่หาก Upgrade แล้วก็จะเลือกได้ว่า จะยิงเป็น Semi Auto หรือ Pump Action โดยจะมีความรุนแรงมากกว่าเป็นต้น

“Dual Wield ยังคงอยู่ ไม่ต้องกลัวว่าจะหายไปไหน”

และมาถึง Gameplay หลักๆของตัวเกมนั้นก็คือฉาก Action – Stealth แน่นอนว่า Wolfenstein II: The New Colossus ยังคงความดิบ เถื่อน โหดร้ายทารุณ มากกว่าเดิม ด้วยอาวุธใหม่ๆที่ถูกเพิ่มเข้ามา และความสมจริงของ Graphic ที่เข้าถึงเลือดเนื้อได้มากยิ่งขึ้น ที่ผมรู้สึกได้อย่างนึงเลยก็คือฉากในเกมออกแบบมาได้ดีมากยิ่งขึ้น ในด้านการ Action ตัวเกมแถบจะไม่มีความติดขัดเลยแม้แต่น้อย และตัวเกมก็ยังคงระดับความยาก ง่าย เอาไว้ได้เป็นอย่างดี

“บุกเข้าไปลุยตรงๆ ก็เป็นอะไรที่มันส์มากเช่นกัน”

แต่ถึงแบบนั้นก็อย่าคิดว่าตัวเกมมันจะง่ายถึงขนาดที่จะเดินบู้ได้สบายๆไม่สนลูกปืนกันเลยนะครับ เพราะนั้นทำเอาผม Reload Checkpoint มาหลายครั้งมากแล้ว แน่นอนว่าตัวเกมเองก็มีระดับความยากอยู่ในระดับนึงเช่นกัน แต่นั้นขึ้นอยู่กับตัวผู้เล่นว่าจะใช้แทคติกแบบไหนในการจัดการศัตรู ทำให้การ Action ในเกมนี้ไม่มีวันเบื่อเลยครับ แถมยิ่งต้องการมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

“Stealth ที่ทำได้ดีขึ้นกว่าเดิม”

ด้านการ Stealth ภายในเกมนี้ก็ทำมาได้ดีในระดับนึง และถูกปรับปรุงจากภาคที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด อันดับแรกเลยคือศัตรูไม่งี่เง่าเหมือนภาคแรกอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะสมบูรณ์ Perfect อย่างน้อยก็ยังทำให้การเล่นสนุก และตื่นเต้นขึ้นมาได้ แน่นอนว่าระบบ Broadcast Alarm ก็ยังคงอยู่เช่นเดิม หากผู้เล่นไม่สนใจการ Stealth และบุกเข้าไปตรงๆเลยละก็เหล่า AI ก็จะกรูกันเข้ามาไม่หยุดจนกว่าผู้เล่นจะทำการสังหาร Commander ได้ครับ ในขณะเดียวกัน หากผู้เล่นสังหาร Commander ไปแล้วและเผลอทำ Alarm Alert ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากจัดการศัตรูที่อยู่ในฉากให้หมดก็เพียงพอแล้ว และไม่ต้องกังวลถึงกำลังเสริมที่จะตามมาได้ครับ

“ขึ้นอยู่กับตัวผู้เล่นแล้วล่ะว่าจะลุยเข้าไปแบบไหน”

นอกเหนือจากนี้แล้ว Wolfenstein II: The New Colossus ก็ยังเพิ่ม “ของเล่นใหม่” เข้ามาภายในเกมอีกด้วย โดยของเล่นพวกนี้จะมีอยู่ทั้งหมด 3 ชนิดโดยเราจะเลือกใช้ได้แค่เพียงชนิดเดียวเท่านั้น โดยแต่ละชนิดก็จะมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป และแต่ละอย่างก็นำเสนอ Gameplay ในรูปแบบใหม่ๆที่แตกต่างกันไปแต่ละชนิดด้วยครับ

“สถานการณ์ไม่ค่อยเป็นใจเอาเสียเลย”

โดยไอ่เจ้าความสามารถทั้ง 3 นี้เราจะได้มาใช้ในช่วงกลางเกมด้วยเหตุผลบางอย่างที่ผมไม่สามารถบอกได้ (สปอยเนื้อเรื่อง) แต่ต้องขอบอกเลยว่าเมื่อผู้เล่นได้มันมาแล้ว ความสนุกจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่ากันเลยล่ะ

“เหล่า Commander ที่ผู้เล่นจะต้องไปตามฆ่าให้หมดหลังจบเกม”

อีกสิ่งนึงที่ทำให้ Wolfenstein II: The New Colossus  ดีขึ้นมากกว่าภาคแรกเลยก็คือ ตัวเกมจะมี Mission เสริมให้ผู้เล่นเลือกทำหลังจบเกมอีกด้วยครับ เมื่อผู้เล่น Clear เกมแล้ว เราจะสามารถถอดรหัส Enigma Code หรือที่เรียกกันว่ารหัสโรเตอร์ ผ่านทางเครื่องถอดรหัสในฐานเรือ U-BOAT Eva’s Hammer ของเรา เมื่อเราถอดรหัสได้สำเร็จ เราจะได้ที่อยู่ของ Ubercommander Nazi ที่ซ่อนตัวอยู่ตามฉากต่างๆที่เราเล่นผ่านโหมดเนื้อเรื่องมา แน่นอนว่าเป้าหมายของเราก็คือจัดการเก็บมันนั้นเอง โดยเจ้า Enigma Code นั้นเราจะได้มาจากการสังหาร Commander และสำรวจที่ศพก็จะได้มันมาครับ

“สะสม Artwork ภายในเกม”

นอกจากนั้นแล้วตัวเกมก็ยังมี Collectibles ให้เก็บมากกว่า 200 ชิ้น โดยแต่ละชิ้นก็จะปลดล็อกจำพวก Art Work, Star Card ต่างๆให้ผู้เล่นได้สะสมกันไป โดยของพวกนี้จะอยู่ตามฉากนั้นแล่ะครับ สังเกตให้ดีๆล่ะ


Oh Vulkan… We Meet You Again


“อีกหนึ่งฉากที่ผมชอบมากที่สุด”

ในด้านของ Graphics ต้องขอชมเชย id Tech 6 ที่สามารถสร้างโลกของ Wolfenstein ออกมาได้ดีกว่าเดิม ตัวเกมมี Graphics ที่สวยงามเป็นอย่างมาก และดูเหมือนว่าปัญหา Texture โหลดไม่ทันที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาติดตัวของ Engine นี้ได้ถูกแก้ไขอย่างสมบูรณ์แล้ว สิ่งที่แตกต่างจาก id Tech เวอร์ชั่นก่อนๆอย่างเห็นได้ชัดเลย นั้นก็คือสีสันที่มีความสดโดยในขณะเดียวกันก็มีความสมจริงเพิ่มเข้ามาเป็นอย่างมาก ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้เราจะเห็นเกมที่ใช้ id Tech 6 เพียงแค่ 2 เกมเท่านั้นก็คือ Doom 2016 และ Wolfenstein II: The New Colossus ดังนั้นเกมเมอร์ท่านไหนที่ชอบเสพ Graphics สวยๆ เกมนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวังครับ (ถึงแม้โมเดล 3D บางอย่างจะดูแปลกๆก็นะ)

“แสงสี ทำออกมาได้ดี”

แต่นั้นก็เป็นปัญหาอีกเช่นเดียวกัน ตัวเกมที่ผมใช้ในการรีวิวครั้งนี้คือเวอร์ชั่น PC และต้องบอกเลยว่า Wolfenstein II: The New Colossus นั้น Optimize ตัวเกมเวอร์ชั่น PC มาได้แย่มากๆ โดยสเป็คคอมพิวเตอร์ที่ผมใช้อยู่ในระหว่างกึ่งกลางขั้นต่ำและขั้นแนะนำ แต่อย่างไรก็ตามผมสามารถเล่น Doom 2016 ได้ใน Setting สูงสุดอย่างไม่มีปัญหา แต่สำหรับ Wolfenstein II นั้นตัวเกมเปิดมาวันแรกตัวเกมก็มีปัญหากับระบบ ASYNC ตามมาด้วยการ์ดจอของค่ายเขียวที่ไม่มี Driver ออกมารองรับ จนต้องไปตามแก้กันใน Hotfix และปัญหาที่ตัวเกมจะ Conflict กับโปรแกรมจำพวก Recording,Streaming ทั้งหลาย หรือแม้กระทั่ง Steam Overlay ก็ยังใช้ไม่ได้

ไม่มีให้เลือก API รวมไปถึงใน Advanced Setting อีกด้วย

แต่ปัญหาหลักๆก็น่าจะเป็นเรื่องที่ตัวเกมมีอาการ Frame Rate ตกตลอดทั้งเกม และปัญหา Freeze Crash ที่พบได้เรื่อยๆเมื่อผ่านไปสัก 2-3 ฉาก โดยทั้งหมดนี้ตัวผู้เขียนขอเดาว่า น่าจะเป็นปัญหาที่ตัวเกมนั้นใช้ API อย่าง AMD Vulkan ที่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับการ์ดจอค่ายเขียว โดยปัญหานี้มีมาตั้งแต่ Doom 2016 แล้ว แต่ในเกมนั้นก็ยังมีตัวเลือกให้ผู้เล่นใช้ OpenGL แทนอยู่ จึงไม่มีปัญหาอะไรมากนัก แต่สำหรับ Wolfenstein II: The New Colossus ดูเหมือนว่าจะไม่มีให้เลือกครับ


สรุปโดยรวมแล้ว ตัวผมไม่มีอะไรที่จะติเกมนี้เลยสักนิดเดียว นอกจากเรื่อง Optimize ที่เป็นปัญหาใหญ่มากๆ (สำหรับคนใช้การ์ดค่ายเขียว) แต่นอกเหนือจากนั้นโดยรวมแล้ว Wolfenstein II: The New Colossus ก็ทำออกมาได้ดี คุ้มค่าแกการรอคอย และด้วยเนื้อเรื่องที่โครตดี จนผมไม่สามารถพูดได้ส่วนนี้ได้เยอะมากเกินไป เพราะมันจะเป็นการสปอยฉากสำคัญๆ เพราะด้วยการที่ตัวเกมนั้นโฟกัสแต่โหมด Single Player ทำให้เหล่าเกมเมอร์จะได้สัมผัสและรับประสบการ์ณที่ดีๆมาอย่างไม่ต้องสงสัยครับ

“หากรู้สึกเหนื่อยๆ ก็มาพักผ่อนกับเกม Wolfstone 3D ได้….”