Our score
6.8Skyrim VR
จุดเด่น
- VR Setting ที่ออกแบบมาให้ผู้เล่นปรับแต่งได้เอง ตามความต้องการ
- ตัวเกมได้มัดรวม DLC มาให้หมดแล้ว ชื้อรอบเดียวจบ
จุดสังเกต
- ความละเอียดภาพ (แบบ VR) ที่ต่ำมาก
- ราคาสูงเกินไป (59.99 USD)
-
GAMEPLAY
7.0
-
GRAPHICS
5.0
-
STORY
9.0
-
PERFORMANCE
7.0
-
VALUE
6.0
The Elder Scrolls V: Skyrim เป็นอีกหนึ่งสุดยอดเกม RPG จาก Bethesda ที่วางขายไปตั้งแต่ปี 2011 ก่อนที่จะวางขายตัวเกมเวอร์ชั่นรวม DLC และปรับปรุงกราฟิคอีกครั้งในรูปแบบ Special Edition ในปี 2016
ช่วงนั้นถือว่าเป็นช่วงที่กระแสเกม VR กำลังมาแรงมากๆ มีค่ายใหญ่หลายๆค่ายเริ่มให้ความสนใจ และ Bethesda เองก็ขอแจมด้วย โดยส่ง Fallout 4 VR และ Skyrim VR เข้ามาร่วมตลาด VR นี้ และบังเอิญว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมได้ชื้อเจ้า PS VR มาพอดี Skyrim VR ก็ถือว่าเป็นเกมแรกๆของผมเลยล่ะครับ
ก่อนอื่นขอขอบคุณ Bethesda / Sony Thailand ที่ได้เป็นผู้สนับสนุนตัวเกมที่ใช้ในการรีวิวในครั้งนี้ด้วยครับ
สำหรับ Skyrim VR จริงๆแล้วผมต้องบอกเลยว่าครั้งแรกที่ได้ยินชื่อเกมผมก็เวียนหัวแล้ว เพราะแค่เล่นในเวอร์ชั่น PC ธรรมดา ผมยังมีอาการมึนๆ หัวหน่อยๆ เลยครับ แต่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เมื่อมาถึงขั้นนี่แล้ว ผมไม่รอช้า จัดการดาวน์โหลด และเข้าเล่นเกมทันที!
Skyrim VR พื้นฐานแล้วมันก็คือ The Elder Scrolls V: Skyrim ภาคเดิมที่มียัด DLC มาครบทุกตัวนั้นล่ะครับ สิ่งที่แตกต่างไปจากตัวเกมเวอร์ชั่นธรรมดาก็มีเพียงแค่การเล่นในรูปแบบ VR เท่านั้น นอกจากนั้นก็ยังเหมือนเดิมอยู่ครบทุกอย่าง แต่ถึงแบบนั้นตัวเกมได้วางขายแยกจากภาคหลักในราคาเต็มเลยทีเดียว แถมยังสามารถเล่นแต่ในโหมด VR ได้อย่างเดียวด้วย ไม่สามารถเล่นในโหมดธรรมดาได้ และสุดท้าย Time-Exclusive สำหรับ Playstation 4 ครับ
สำหรับการรีวิวในครั้งนี้ ผมอาจจะไม่พูดถึงระบบหลักๆ ของตัวเกมมาก แต่จะขอพูดถึงการเล่นในรูปแบบ VR เสียมากกว่า ว่าเกมนี้มันทำได้ดีมากแค่ไหน และต้องขออภัยล่วงหน้าสำหรับเรื่องรูปถ่ายภายในเกมที่อาจจะมีน้อยไปสักนิด เนื่องจากว่ามันถ่ายลำบากมากเลยครับ
Virtual Dragonborn
Skyrim VR ตัวเกมจะดำเนินเรื่องเหมือนกับตัวเกมหลักปกติ ในขณะที่ทหารฝั่ง Imperial กำลังจับกุมเชลยศึก Stormcloak ที่เราก็บังเอิญโดนจับมาด้วยไปประหารชีวิต แต่โชคดีที่รอดจากการประหารครั้งนั้นมาได้ หลังจากการต่อสู้กับมังกรตัวแรก ทำให้ค้นพบว่าตัวเรานั้นมีสายเลือด Dragonborn แห่งอาณาจักร Skyrim ในตำนานนั้นเอง
โดยหลักจากนี้การดำเนินเรื่องราวทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับตัวผู้เล่นเอง ไม่ว่าจะเลือกฝ่ายไหนในการทำสงคราม เข้าร่วมกับกลุ่มลัทธิต่างๆ แต่งงานสร้างชีวิตใหม่ ออกผจญภัยไปตามดินแดนต่างๆ สมัครเข้าเป็นนักเรียนโรงเรียนเวทย์มนต์ และอื่นๆ อีกมากมายสารพัดอย่างที่ใช้เวลา 1000 ชั่วโมงก็ยังไม่พอครับ
และเมื่อมาถึงการเล่นในรูปแบบ VR แล้ว เชื่อว่าสิ่งที่ใครหลายๆ คนหวังว่าอยากจะเข้าไปอยู่ในดินแดน Skyrim นั้นจะเป็นจริง แต่หลังจากที่ผมได้ลองเล่นมากว่า 100 ชั่วโมงเพื่อมาเขียนรีวิวในครั้งนี้ ต้องขอบอกเลยว่า
Everything is Totally Wrong
Skyrim VR ยังมอบประสบการณ์ของคำว่า Virtual Reality ได้ไม่ดีเท่าไรนัก ในช่วงแรกผมค่อนข้างพบปัญหาในการเล่นอยู่ตลอดเวลา และเพิ่งจะมาปรับตัวได้ในตอนหลังๆ สาเหตุหลักๆน่าจะมาจากการที่ตัวเกมมันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เป็นเกม VR แต่แรกอยู่แล้วก็เป็นได้ครับ นอกจากนั้นก็ยังมีระบบการบังคับที่ทำออกมาได้ไม่ดีเท่าไรนัก และ กราฟิคที่จัดว่าแย่สำหรับ VR ครับผม
เกมนี้ผู้เล่นสามารถเลือกรูปแบบการเล่นได้ทั้ง 2 อย่าง รูปแบบที่ว่านั้นคือการเล่นโดยใช้ PS4 Controller ธรรมดา หรือ PS Move ซึ่งตัวผมเองได้ทดลองเล่นทั้ง 2 รูปแบบ เพื่อการรีวิวในครั้งนี้ ตรงนี้ผมต้องขอชมการใช้ PS Move กับการเคลื่อนไหวภายในเกมที่จับได้อย่างแม่นยำ เช่นหากเราใช้ดาบ ท่าทางการโจมตีของผู้เล่นกับในเกมจะเป็นรูปแบบเดียวกันเป๊ะจะแทงจะฟัน ทุกอย่างจะเหมือนกันหมด เช่นเดียวกับการใช้ธนูที่ผู้เล่นจะต้องใช้ PS Move ทั้ง 2 ตัวในการตั้งท่ายิงธนูจริงๆอีกด้วยครับ
แต่ถึงแบบนั้น หากพูดถึงความยากง่าย หรือความสะดวกสะบายในการเล่น PS4 Controller ย่อมได้เปรียบกว่ามากครับ ไม่ว่าจะเป็นการบังคับ การโจมตี ทุกอย่างจะเหมือนกับการเล่น Skyrim เวอร์ชั่นปกติทุกอย่าง แต่ปัญหามันจะตามมาก็ตอนที่การเล็งเป้านี่ล่ะครับ อย่าลืมว่าเมื่อเราขยับหัวของเราเมื่อไร เป้าก็ขยับตามด้วย ถึงแม้ว่าจะใช้อนาล็อคได้ แต่มันอาจจะเกิดอาการมึนหัวอย่างรุนแรงได้ทันทีครับ
ตัวเกมได้แก้ปัญหามาให้เรา โดยการเพิ่มโหมดการหันอนาล็อคเป็น 2 แบบได้แก่โหมด Snap ที่จะหันมุมกล้องไปที่ 30 องศาตามการขยับอนาล็อค กับโหมด Smooth ที่จะเหมือนกับการขยับอนาล็อคปกติ แต่มันจะมีความลื่นไหลที่ดีกว่า ทำให้แก้ปัญหาการเวียนหัวได้ดีเลยล่ะครับ
นอกจากอีกสิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างขัดใจผมก็คือ Hud ทุกอย่างภายในเกมมันจะอยู่ด้านบนหรือด้านล่าง ไม่ได้อยู่ในมุมมองของเราตลอดเวลา ทำให้เราจะต้องมองบนมองล่างเวลาจะตรวจสอบพลังชีวิตทั้งของเราและศัตรู ตรงนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมาก แต่พอผ่านไปนานๆ ผมรู้สึกว่ามันน่ารำคาญมากๆเลยล่ะ
Reality? Skyrim
มาพูดถึงกราฟิก และการแสดงผลกันหน่อยดีกว่า จริงๆต้องบอกว่าถ้าพูดถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดในเกม VR คืออะไร ผมจะขอตอบดังๆว่า กราฟิก และ ความละเอียดในการแสดงผลนี่ล่ะครับที่สำคัญสุด และใน Skyrim VR นั้นผมก็ต้องขอพูดดังๆ เลยว่า มันแย่ แย่ชนิดที่ว่าเกมเวอร์ชั่น PS3 ยังดูดีกว่ามาก (ก.ไก่ ล้านตัว)
ด้วยการที่ Skyrim มันเป็นเกมที่มีรายละเอียดสูงมากๆ อยู่แล้ว กลับมาแสดงผลในความละเอียดต่ำ ภาพที่ออกมาก็จะดูแย่ไปเลยทันทีครับ เมื่อนำเอาไปเปรียบเทียบกับเกม VR เกมอื่นๆ แล้ว Skyrim VR จะถือว่าแย่ไปในทันที
โดยสาเหตุนั้นหลักๆก็จะมาจากเจ้าตัว PS4 เอง โดยในครั้งนี้ผมใช้ PS4 เวอร์ชั่นธรรมดา ไม่ใช่ Pro แต่อย่างใด และมาจากสเป็คของ PS VR ที่ไม่ได้แรงเท่าไรนัก โดยที่เจ้าตัว PSVR จะแสดงผลสูงสุดที่ 1920 x 1080 หรือ 960x 1080 แต่ละดวงตา และ Refresh Rate ที่ 90hz ถึง 120hz เท่านั้นเองครับ แต่ถึงอย่างนั้น Skyrim VR ก็ไม่มีปัญหาเรื่องเฟรมเรตเลยสักนิด
สรุปแล้ว Skyrim VR สำหรับตัวผมเองนั้น ตัวเกมยังคงความสนุกแบบดั้งเดิมที่ตัวเกมต้นฉบับได้ทำเอาไว้เมื่อ 6 ปีที่แล้วได้เป็นอย่างดี แต่กลับกัน มันไม่ได้สร้างประสบการณ์ที่ดีสำหรับ VR ให้ผมเลยสักนิด ตลอดทั้งเกมผมกลับรู้สึกว่า “นี่ตรูมานั่งทำอะไรอยู่เนี่ย” แตกต่างกับเกม VR เกมอื่นๆที่ผมเคยเล่นอย่าง VR Playroom, Resident Evil 7 และอื่นๆอีกมากมายที่มอบประสบการณ์ดีๆได้มากกว่าเกมนี้่อีกครับ อีกทั้งตัวเกมยังวางจำหน่ายในราคาเต็มอีกด้วย โดยที่ไม่สนเลยว่าเคยมีตัวเกม Skyrim แล้วหรือยัง สำหรับผมถือว่ามันไม่แฟร์สุดๆ
ปัญหาหลักๆ ที่ผมพบได้คือการที่ตัวเกมมันไม่ได้ออกแบบมาสำหรับการเล่น VR ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว การที่จะให้เรานั่งสวมเจ้าแว่นนี้ไปตลอดหลายชั่วโมงติดต่อกันแบบเมื่อก่อน เพื่อดื่มด่ำและผจญภัยไปในโลกแบบเดิมก็คงไม่ได้ เพราะแค่ 1 ชั่วโมงผมก็มึนจะแย่แล้วครับ จนกว่าจะถึงตอนนั้น ถ้าตัวเกมได้นำมาลง PC และลองรับเจ้าแว่น Oculus หรือ HTC ก็อาจจะดีขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้ครับ
“Skyrim เป็นอีกหนึ่งเกมที่ใครไม่เคยเล่นควรจะหามาเล่นกัน แต่อยู่ในห่างๆ เวอร์ชั่น VR นี้ไว้เถอะครับ”