[Review] Stifled เมื่อความกลัว มันได้ยินเสียงของคุณ [PSVR & Thai Language]!!
Our score
7.9

Stifled

จุดเด่น

  1. สนุกตื่นเต้นเร้าใจ เป็นอีกหนึ่งเกม Horror ที่น่าหามาลอง
  2. ระบบการเล่นที่ล้ำใช้ได้ ถือว่าแปลกใหม่มาก
  3. การเล่นในโหมด VR ที่ทำออกมาได้ดี ไร้ที่ติ
  4. ภาษาไทยทั้งเกม ทั้งพากย์ไทยและซับไทย

จุดสังเกต

  1. เกมสั้นมาก 3 ชั่วโมง
  2. ราคาสูงเกินไปสักนิด
  • GAMEPLAY

    7.5

  • GRAPHICS

    8.0

  • STORY

    8.0

  • PERFORMANCE

    9.0

  • VALUE

    7.0

เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ผมได้มีโอกาสลองเล่นเกม Stifled เกมแนว First Person Horror จากทีมงานอินดี้ Gattai Games ตัวเกมนั้่นก็มีรูปแบบการเล่นคล้ายกับเกมสยองขวัญเกมอื่นๆทั่วไปนั้นล่ะครับ แต่สิ่งที่สร้างความแตกต่างและความแปลกใหม่ ก็คือการที่ตัวเกมใช้ระบบเสียงของผู้เล่นจริงๆ และการเล่นในโหมด VR นี่แล่ะครับ ที่ทำให้ผมเล่นเกมนี้จนจบได้ และที่สำคัญ มันมีภาษาไทยทั้งพากย์และซับไตเติ้ลอีกด้วยครับผม

ตัวเกมมีคอนเซ็ปง่ายๆว่า “They hear you fear” โดยที่พื้นฐานคนทั่วไปแล้วต้องมีบ้าง เวลาเจอผีในเกม หรือฉาก Jumpscare แล้วก็จะปล่อยเสียงอุทานกันออกมา แต่สำหรับเกม Stifled นี่แล้วถ้าหากคุณปล่อยกรี๊ดออกมาตอนที่คุณเจอผีในเกมล่ะก็ แน่นอนว่ามันจบไม่สวยสำหรับตัวผู้เล่นแน่ๆ เพราะว่าพวกมันเหล่านั้น “มันจะได้ยินเสียงของคุณครับ”

“ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ Sony Thailand ที่สนับสนุนตัวเกมในการรีวิวครั้งนี้ด้วยครับ”

Stifled เป็นเกม Horror ทั่วๆไป พื้นฐานการเล่นก็จะคล้ายๆกับเกมดังอย่าง Resident Evil 7 หรือที่ใกล้เคียงที่สุดก็คือ Home Sweet Home, Outlast โดยที่ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Dave ชายหนุ่มวัยกลางคนที่แต่งงานแล้ว Gameplay หลักๆของเกมจะเน้นการประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดในเกมเป็นหลัก ว่าไอ่ที่เรากำลังเล่นๆอยู่นี้นั้น มันเกิดขึ้นจากอะไร และการ Stealth จะเป็นหัวใจหลักของเกมนี้ครับ

Dave ตื่นขึ้นมาภายในห้องนอนของเขา ตัวเขาเองจำอะไรไม่ค่อยได้มากนัก ตรงจุดนี้ตัวเกมจะพยายามทำให้ผู้เล่นสวมบทบาทเป็น Dave เขาได้พบภรรยาของเขา Rose อยู่ในบ้านเดินไปมา พร้อมกับได้ยินเสียงโทรศัพท์ ที่ปลายสายพูดถึงเรื่องการรับลูกบุญธรรมเข้ามาเลี้ยงภายในบ้าน พร้อมกับเสียงเคาะประตูบ้าน ที่หลังจาก Dave เปิดประตูบ้าน ภาพก็ตัดมาเป็นอีกฉากหนึ่งพอดี

จากที่ผมเล่ามา ตัวผู้อ่านเองก็คงจะไม่เข้าใจว่าผมจะสื่อถึงอะไร แต่ก็นั้นล่ะครับ คือสิ่งที่ผมก็รู้สึกหลังจากที่ได้เล่นในฉากแรกของเกม จากนั้นตัวเกมก็ค่อยๆเปิดปลายฉากจบของเรื่องออกมาที่ละนิดหน่อย โดยที่ถ้าหากผมตัวผมไม่ใช้การสังเกต การคิดวิเคราะห์ การอ่าน มากอย่างเพียงพอแล้วล่ะก็จะไม่มีทางเข้าใจเนื้อเรื่องเกมนี้เลยครับ ในจุดๆนี้จะมีความคล้ายกับเกมอย่าง Home Sweet Home ที่ต้องใช้การประติดประต่อเนื้อเรื่องเอาเองทั้งหมด

ซึ่งเนื้อเรื่องทั้งหมดภายในเกมนั้นจะถูกสรุปภายในระยะเวลาการเล่นไม่ถึง 3 ชั่วโมง ?? ใช่ครับ เนื้อเรื่องของเกมนี้ใช้มีความยาวประมาณ 3 ชั่วโมง หรืออาจจะเร็วกว่าถ้าหากผู้เล่นมีความสามารถในการ Stealth มากพอ แต่ถึงแบบนั้นตัวผมก็ต้องร้อง WOW และทึ่งกับการ “เล่นใหญ่” ของเกมนี้ ที่ทำให้ผมรู้สึกคุ้มค้ากับ 3 ชั่วโมงที่เสียเป็นอย่างมาก ทั้งหมดนี้ผมไม่สามารถบอกได้ เพราะมันคือสปอยล์โคตรใหญ่มากๆ แต่ถ้าหากใครอยากจะรู้จริงๆ สามารถอ่านได้ที่ท้ายบทความเลยครับ


Sound n Stealth


โดยปกติแล้วเกมแนวๆนี้ ถ้าไม่มอบอาวุธให้ผู้เล่น ก็ต้องบังคับให้ผู้เล่น Stealth นี่ล่ะครับ สำหรับ Stifled เองแล้วนั้นนอกจากการ Stealth เองแล้ว “เสียง” ก็จะเป็นอีกหนึ่งลูกเล่นที่ถูกเพิ่มเข้ามาภายในเกมครับ และมันเป็นลูกเล่นที่ล้ำโครตๆซะด้วย

ก่อนอื่นเลยต้องบอกก่อนว่า ตัวเกมจะมี Graphic ที่ค่อนข้างแปลกหูแปลกตา นอกจากฉากปกติแล้ว ในฉาก Gameplay หลักๆตัวเกมจะมีกราฟฟิคแบบเส้นๆ โดยที่ผมเองก็ไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดอย่างเป็นทางการยังไง แต่ต้องบอกเลยว่ามันแปลกมากๆ นอกจากนี้ตัวเกมยังนำเอา Echolocation หรือที่เรียกกันอย่างเป็นทางการว่า “การกำหนดที่ตั้งวัตถุด้วยเสียงสะท้อนในมนุษย์” มาเป็นหัวใจหลักของตัวเกมอีกด้วยครับ

Echolocation คืออะไร อธิบายง่ายๆเลยก็คือยกตัวอย่างจากการที่คนตาบอด สามารถกำหนดวัตถุ หรือสภาพโดยรอบของตัวเองได้จากการเคาะ หรือการสร้างเสียงต่างๆ โดยฟังจากเสียงสะท้อน และกำหนดมันออกมาให้กลายเป็นรูปร่างครับ และนั้นคือสิ่งที่ Stifled ต้องการจะนำเสนอให้ผู้เล่น

ตัวเกมจะทำเป็นเหมือนว่าตัว Dave (ตัวผู้เล่นเอง) มองอะไรไม่ค่อยเห็น และต้องคอยส่งเสียงอยู่ตลอดเวลา โดยการส่งเสียงของ Dave นั้นจะออกไปเป็น Pulse กระจายออกรอบๆตัว ส่งผลให้ในเกือบทั้งเกม ตัวผู้เล่นต้องคอยส่งเสียงตลอดเวลา เพื่อให้เราสามารถมองเห็นฉากรอบๆตัวได้ครับ

การส่งเสียงภายในเกมนี้สามารถทำได้ง่ายๆ 2 วิธีครับ อย่างแรกคือการกดปุ่ม R2 ค้างเอาไว้ แล้วปล่อย ยิ่งกดค้างไว้นานๆ Dave ก็จะส่งเสียงดังมากกว่าเดิม โดยที่ตัวเกมจะมี Gimmick เล็กๆน้อยๆ เช่นถ้าหากเรากดปุ่มแล้วปล่อยเบาๆ Dave ก็จะพูดเบาๆ เหมือนแอบกระซิบ โดยคำพูดของเขาที่เราจะได้ยินก็จะเป็น “อะไรวะ” “นั้นใครกัน” แต่ถ้าหากเรากดค้างไว้สุดแล้วปล่อย เขาก็จะตะโกนออกมาดังๆเช่น “มีใครอยู่ไหม” “มีใครได้ยินหรือเปล่า” อะไรประมาณนี้ครับ

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เราสามารถต่อ Microphone เข้าเครื่อง PS4 และใช้เสียงของเรานี่แหล่ะพูดได้เองภายในเกมเลย โดยจากที่ผมลองมาก็พบว่า Sensor วัดเสียงของมันทำออกมาได้ดีมากครับ สามารถวัดระดับเสียงเบา ดัง ได้อย่างแม่นยำ ให้ความสนุกที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

มาถึงตรงนี้ ผู้อ่านหลายๆคนน่าจะเข้าใจแล้วว่าเกมนี้มันสนุกอย่างไร ถ้าหากไม่เข้าใจผมจะอธิบายให้ฟังต่อครับ เนื่องจากว่าศัตรูของเราในเกมนี้มันเป็นผี หรืออะไรก็ตามแต่ พวกมันเหล่านี้มันจะได้ยินเสียงของผู้เล่น แต่มันจะมองไม่เห็นผู้เล่นครับ แน่นอนว่าตัวเราเองก็เช่นกันที่มองไม่เห็นมัน แต่ได้ยินเสียงมัน โดยสิ่งที่จะเข้ามาเป็นตัวแปรนี้ก็คือเสียงนั้นล่ะ หมายความว่าเราจะเห็นตัวมันได้ ก็ต่อเมื่อเราใช้เสียง Pulse ออกไปเพื่อให้ได้เห็นตัวมัน

แต่ถ้าหากทำแบบนั้น มันก็จะเห็นตัวผู้เล่นเองเช่นกันจริงไหมครับ และนั้นแหล่ะคือความสนุกของเกมนี้ ในฉากที่มืดมองอะไรไม่เห็น ผู้เล่นจำเป็นต้องคอยส่งเสียงตลอดเวลา แต่ถ้าทำแบบนั้นพวกมันก็จะได้ยินเสียงของคุณ แต่คุณก็จำเป็นต้องทำ การวางแผน และการเอาตัวรอดของผู้เล่น และการใช้เสียงให้เกิดประโยชน์ คือหัวใจหลักของเกมๆนี้ครับผม


Virtual Reality


นอกจากระบบการใช้เสียงของผู้เล่นจริงๆจะเป็นจุดเด่นของเกมนี้แล้ว VR เองก็เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ตัวเกมพยายามนำเสนอมันครับ และต้องบอกเลยว่ามันทำออกมาได้ดีมากๆ อย่างแรกเลยคือเรื่อง Motion Sickness ที่ตัวผมเองนั้นมีปัญหา และเล่นเกม VR ทีไรก็จะเป็นแบบนี้ทุกที แต่เกมนี้กลับไม่ค่อยมีอาการแบบนั้นโผล่มาสักเท่าไร ส่วนนึกอาจเป็นเพราะตัวเกมได้ใช้ Graphic แปลกๆ แบบนี้นั้นล่ะครับ

มีสะดุ้งกันบ้างล่ะ

ผมยังไม่ได้ลองใช้ PS Move ดู แต่การเล่นคู่กับจอย PS4 ธรรมดาก็ทำออกมาได้ดี การบังคับ การหันมุมกล้อง ทุกอย่างลงตัวครับ บรรยากาศในเกมทั้งหมดนั้นมันสุดยอดมากๆ ความรู้สึกของการเล่นเกมนี้ในโหมด VR มันจะแตกต่างกับโหมดปกติมากๆครับ อาจจะเป็นเพราะว่าเดิมทีตัวเกมออกแบบมาสำหรับ VR อยู่แล้ว แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังทำได้ดีทั้งสองโหมดการเล่นเลยล่ะ


สุดท้ายนี้ Stifled เป็นอีกหนึ่งเกมที่ควรหามาติดบ้านเอาไว้ สำหรับผู้ที่มี VR ในครอบครองอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ด้วยราคาที่สูงไปสักนิดหน่อย ก็แล้วแต่กำลังสรรพของคุณครับ แต่ด้วยการที่ตัวเกมยาวเพียง 3 ชั่วโมงนั้น อาจจะไม่เป็นที่พอใจสำหรับบางคน แต่สำหรับผมการที่ใส่เจ้า VR นี้ยาวๆ 3 ชั่วโมง พร้อมกับบรรยากาศในเกมเนี่ย ก็คุ้มค่ามากพอแล้วครับผม


และนี่คือสปอยเรื่องราวทั้งหมดในเกม ตามข้อสรุปของผมครับ

ห้องนอนของ Dave ในปี 2020

เรื่องราวทั้งหมด ทุกอย่างเกิดขึ้นในโลกอนาคตปี 2020 Dave ชายแก่ ผู้ที่อาศัยอยู่เพียงคนเดียวในบ้านหลังนึง โดยที่ทั้งบ้านนั้นเต็มไปด้วยเครื่อง Server ที่กักเก็บข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับตัวเขา และ ภรรยา Rose ที่ตายไปเมื่อกว่า 50 ปีก่อน Dave ทำใจไม่ได้ที่ภรรยาของตัวเอง Rose ฆ่าตัวตาย เขาจึงสร้างโลกเสมือนจริงขึ้นมา และเข้าไปหาเธอในนั้นครับ

อุบัติเหตุรถ ส่งผลให้ลูกของเขาตาย

เรื่องเกิดขึ้นภายในช่วงกลางปี 70 Dave เขาเป็นทหารผ่านศึกที่เพิ่งกลับมาจากสงคราม เขาได้พบรักกับ Rose และได้แต่งงานกัน มีลูกด้วยกันอย่างมีความสุข และอยู่มาวันนึง พวกเขาได้ประสบอุบัติเหตุรถชน ทำให้ลูกของพวกเขาเสียชีวิต Rose เสียใจเป็นอย่างมาก และด้วยเหตุนี้จึงทำให้เธอไม่อาจมีลูกอีกคนได้อีก

นัดหมายเรื่องการรับเด็กเข้ามาเลี้ยง

Dave ที่เห็นแบบนั้น จึงได้พยายามติดต่อกับสถานรับเลี้ยงเด็ก และจะนำเด็กมาเลี้ยงแทนลูกที่ตายไปของตน แต่ Rose กลับรับไม่ได้ที่จะให้ใครมาแทนลูกที่ตายไป Dave จึงได้ให้เธอตั้งสติ และพาเธอไปเที่ยว เพื่อผ่อนคลายความเครียด แต่เมื่อกลับมาแล้ว เธอกลับตัดสินใจฆ่าตัวตาย โดยการกระโดดตึก โดยที่เราเห็นกับตา !!

แต่ทันใดนั้นเอง ระบบก็เกิดการขัดข้อง ทุกๆอย่างหยุดอยู่ราวกับมีคนกดปุ่ม Pause ตัวเกมแสดงให้เห็นถึงหน้าต่าง Dos โดยมีคำอธิบายขึ้นมาว่า Hard Disk ล้มเหลว และจะมีการ Reboot ใหม่ คุณจะตกลงหรือไม่ Y/N

ห้องที่เข้าใช้เครื่อง VR

ตรงนี้หากผู้เล่นตอบ Y หรือ Yes ตัวเกมจะส่งคุณกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของทั้งหมด หรือก็หมายความว่าเริ่มเล่นเกมใหม่ตั้งแต่ต้น เหมือนกับกด New Game นั้นแหละครับ แต่ถ้าหากผู้เล่นตอบ N หรือ No ตัวเกมก็จะพาผู้เล่นเข้าไปสู่ฉากจบที่แท้จริง

Dave วัยแก่ ได้ถอดเครื่อง VR ออก พร้อมกับเดินไปรอบๆบ้านที่กลายเป็นฐานคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ไปแล้ว เขายังคงเก็บของที่เกี่ยวกับ Rose เอาไว้อยู่ทุกอย่าง ความทรงจำต่างๆยังคงถูกบันทึกเอาไว้เช่นเดิม เขาได้เดินออกตรงประตูบ้าน และได้พูดว่า “รอผมก่อน” “ผมกำลังจะไปหาคุณ”