Our score
7.8Bloodstained Curse of the Moon
จุดเด่น
- เกมเพลย์คลาสสิก
- ฉากออกแบบมาดี
- เปลี่ยนตัวละครได้
- ราคาเกมไม่แพง
จุดสังเกต
- เกมสั้นไปหน่อย
-
กราฟิกและการนำเสนอ
7.5
-
เกมเพลย์
8.0
-
ความแปลกใหม่
7.0
-
ความคุ้มค่า
8.5
-
ภาพรวม
8.0
ในยุคนี้หากค่ายเกมไม่ยอมสร้างภาคต่อ อดีตทีมสร้างตำนานสามารถหาทุนสร้างได้เองผ่านการระดมทุนเพื่อสร้างเกมแนวเดียวกันได้เอง และเกม Bloodstained Ritual of the night ก็เป็นหนึ่งในเกมที่เกิดจากการระดมเงินจากแฟนเกมที่ต้องการให้เกม Castlevania แนว 2 มิติกลับมาอีกครั้ง และหลังจากได้ทุนตามเป้าก็เงียบหายไปนาน ซึ่งผู้สร้างเกมกลัวคนจะรอนานได้ส่งเกม Bloodstained Curse of the Moon ที่มาในรูปแบบ 8Bit มาให้เล่นแก้ขัดไปก่อนระหว่างรอภาคหลัก
ภาคเสริมที่มาในกราฟิกย้อนยุค
โดยเกม Bloodstained Curse of the Moon เป็นเหมือนภาคแรกของภาคหลัก และอย่างที่บอกว่ากราฟิกมันถูกสร้างมาแนวย้อนยุคไปสู่สมัยแฟมิคอม 8Bit ทำให้กราฟิกมันเหมือนเกมเมื่อ 30 ปีก่อน แต่ก็มีหลายส่วนที่งานออกแบบและรายละเอียดของตัวละครโดยเฉพาะบอสในเกมทำออกมาได้ดูดีกว่าเกมในยุคก่อนมาก และแน่นอนว่าในเมื่อภาพย้อนยุคเพลงประกอบเกมก็มาแนวเสียงแบบ 8 Bit เช่นกันแม้ว่าเพลงในเกมอาจจะไม่ได้ติดหูเท่ากับเกม Castlevania แต่ก็เข้ากับรูปแบบเกมได้ลงตัว อย่างไรก็ตามแม้ว่ามันจะถูกสร้างแนวย้อนยุค แต่หลายส่วนในเกมก็ยังคงดูรู้ว่ามันคือเกมใหม่ที่พยายามจะทำให้เก่าอยู่ดี
เกมเพลย์กลับคืนสู่ความคลาสสิก
ส่วนรูปแบบของเกม Bloodstained Curse of the Moon ยังคงเดินตามรอยภาคหลักเพราะเป็นแอ็คชั่น 2 มิติมุมมองด้านข้างที่แทบจะถอดมาจากเกม Castlevania ที่ทั้งฉากการออกแบบ รวมทั้งศัตรูหลายตัวแถบจะถอดแบบกันออกมา แล้วเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาเท่านั้น มีเพียงบอสในเกมที่ดูจะเหมือนจะมีความเป็นเอกลักษณ์อยู่บ้าง ส่วนตัวเอกจะมีอาวุธสองประเภทที่มีทั้งแบบหลัก และอาวุธพิเศษที่จะเสียค่าพลัง ที่โดยรวมแล้วสามารถบอกว่ามันคือการนำเกม Castlevania มาสร้างใหม่ได้เลย
ส่วนความโดดเด่นของภาคนี้คือการที่มีตัวละครมาให้เลือกเล่น ที่มีความคล้ายกับภาค Castlevania 3 Dracula’s Curse ที่ออกวางขายบนเครื่อง Famicom ที่ตัวเอกจะเป็น zangetsu นักปราบปีศาจผู้ใช้ดาบ และเมื่อเราเล่นไปเรื่อยๆจะช่วยเหลือตัวละครที่เหลือและค่อยๆปลดล็อกออกมา โดยตัวละครทั้งหมดจะมี 4 ตัวที่มีทั้ง zangetsu ผู้ใช้ดาบที่ทรงพลัง และ Miriam ผู้ใช้ แส้เป็นอาวุธ , Alfred ผู้ใช้เวทมนต์ และปิดท้ายด้วย Gebel ที่สามารถแปลงร่างเป็นค้างคาวได้ ทำให้โดยรวมยิ่งเหมือนกับเกม Castlevania 3 มากขึ้นไปอีก โดยผู้เล่นต้องใช้ความสามารถที่แตกต่างในการเปิดทางไปต่อเช่นเมื่อใช้ Gebel เราจะบินเข้าไปยังจุดที่ตัวละครอื่นไปไม่ได้ และเราสามารถ เปลี่ยนตัวละครได้ตลอดเกมยกเว้นว่าเราจะพลาดท่าทำตัวละครนั้นตายก็จะเรียกใช้งานไม่ได้จนกว่าจะตายครบทุกตัวแล้วจะต้องเริ่มต้นใหม่
ฉากในเกมซับซ้อนกว่าที่คิด
ตัวเกมแบ่งออกเป็นฉากๆที่ดูเหมือนว่าไม่ได้มีความซับซ้อนแต่พอได้เล่นจริงๆมีทั้งทางแยก และทางลับที่มีไอเทมพิเศษซ่อนอยู่ และเราต้องใช้ความสามารถพิเศษของตัวละครเพื่อเปิดทางไปต่อ และมันจำเป็นอย่างมากเพราะเราจำเป็นต้องอัพเกรดตัวละครได้ทั้งค่าพลังชีวิต และความสามารถพิเศษ เช่นการกระโดดสองจังหวะ และยังมีการอัพเกรดท่าไม้ตายใหม่ๆของตัวละครด้วย ที่ต้องชมผู้สร้าง คือระดับความยากของเกมที่ปรกติแล้วเกมแนวย้อนยุคมักจะใส่ความยากระดับสุดโหดเข้ามา เพื่อให้สัมผัสถึงความโหดของเกมสมัยก่อน แต่กับเกม Bloodstained Curse of the Moon ถือว่ามีระดับความยากที่พอดีๆ ไม่โหดจนเกินไปและก็ไม่ง่ายจนเกินไปมือใหม่ก็สามารถเล่นได้
โดยรวมแล้วเกม Bloodstained Curse of the Moon แม้ว่ามันเหมือนเกมที่เอามาเล่นแก้ขัดระหว่างรอเกม Bloodstained Ritual of the night สร้างเสร็จแต่ก็ทำออกมาได้ดีเกินคาดมาก เกมสนุกหลากหลายในรูปแบบ 2D และเล่นได้หลายรอบโดยไม่เบื่อ แถมยังมีราคาขายที่ไม่แพง(ประมาณ 200 กว่าบาท) ใครที่ยังชื่นขอบเกม 2D แนว Castlevania สมัยยุค 80 ไม่ควรพลาด