Our score
7.5Battlefield V
จุดเด่น
- ระบบทีมเวิร์คสุดสมดุล
- ภาพกราฟิกงามงดลื่นปรื๊ด ๆ
- โหมดมัลติเพลเยอร์มีให้เลือกหลากหลาย
จุดสังเกต
- อารมณ์ซ้ำซากจำเจสูง
- โหมดเนื้อเรื่องแค่เล่นชิล ๆ
- ไม่มีที่ยืนให้สายลุยเดี่ยว
-
GAMEPLAY
8.0
-
GRAPHIC
9.0
-
STORY
6.0
-
PERFORMANCE
7.5
-
VALUE
7.0
รบกันมารัว ๆ มากกว่า 40 ภาค ในสมรภูมิต่างที่ต่างเวลามากกว่า 5 ยุค เมื่อมาถึงภาคน้องใหม่ล่าสุดของ Battlefield ที่กลับไปใช้ฉากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เหมือนต้นกำเนิดของซีรี่ส์ ทีมพัฒนา DICE จึงต้องสรรหาจุดแปลกใหม่เข้ามาบ้างหากไม่อยากให้แฟน ๆ เบื่อไปซะก่อน ซึ่งแทนที่พวกเขาจะใช้วิธีง่าย ๆ อย่างการโปะสกินใหม่ ใส่ปืนแปลก ๆ หรือยานพาหนะประหลาด ๆ เข้ามาในเกมเพื่อให้คนเล่นตื่นเต้นจากการได้จับของเล่นใหม่ พวกเขากลับมุ่งเน้นไปในเส้นทางที่ลึกลงไปกว่านั้น แม้จะมองเห็นได้ยากด้วยตาเปล่าแต่เกมเมอร์จะรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจนเมื่อได้ลองเล่นเกมกับมือ
ความแปลกใหม่ที่ว่าของ Battlefield V คือการปรับซีรี่ส์นี้ให้กลายเป็นเกมออนไลน์มัลติเพลเยอร์สเกลยักษ์ที่เน้น “การเล่นเป็นทีม” เต็มรูปแบบ รวมทั้งการปรับระบบในเกมให้เข้าที่เข้าทางและสมดุลที่สุดเท่าที่จะทำได้ การเลือกเดินในเส้นทางนี้อาจทำให้เกมเมอร์ไม่ได้ร้องโอ้โห อ้าหา ตั้งแต่เปิดเกมมาเล่นใน 10 นาทีแรก แต่พวกเขาจะซาบซึ้งกับมันหลังจากโจ้เพลิน ๆ ไปนานกว่า 10 ชั่วโมงแล้ว รายละเอียดของความใหม่นี้เป็นอย่างไร ถูกใจแฟน ๆ ซีรี่ส์และขา FPS หรือไม่ ลองไปดูกันเลย!
ภาพ เสียง เอนจิ้นทรงพลัง ประหนึ่งรถถัง Tiger!
ขึ้นชื่อว่าเป็นเกม Battlefield ทั้งทีก็ต้องมาพร้อมกับเอนจิ้น Frostbite มหากาฬของทีม DICE เค้าอยู่แล้ว ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคุณภาพกราฟิกยังคงมาตรฐานอันสูงส่งของ Frostbite ไว้ได้ไม่ผิดหวัง ภาพเนียนกริ๊บเหมือนภาพถ่าย แสงสีสดใส แถมยังเฟรมเรตลื่นปรื๊ด 60 FPS แม้จะเล่นบนเครื่อง PS4 Pro นอกจากนี้หากคุณเล่นบนพีซี คุณยังสามารถดันกราฟิกให้มิด Ultra แล้วสัมผัสภาพงาม ๆ ที่สวยติดอันดับต้น ๆ ของเกม FPS ในยุคนี้แบบไม่กระเทือนพลังเครื่องมากเกินไป และหากคุณเป็นสายบ้ากราฟิกตัวจริงยังสามารถโดดไปลองใช้เอฟเฟกต์ Ray Tracing ที่มาพร้อมกับการ์ดจอ NVIDIA ตัวใหม่ได้ แต่การสัมผัสเทคโนโลยีแห่งอนาคตตัวนี้ก็ต้องแลกมากับเฟรมเรตเกมที่ร่วงแบบไม่ปราณีด้วยนะ
อย่างไรก็ตาม พระเอกตัวจริงที่โดดเด่นยิ่งกว่าภาพกราฟิกงาม ๆ ก็เห็นจะเป็นเสียงเอฟเฟกต์ของเกมนี้นี่แหละ เสียงลูกตะกั่วแต่ละเม็ดที่แหวกอากาศผ่านตัวคุณไปช่างฟังดูน่าหวาดเสียวจนทำให้เผลอโยกหัวหลบกระสุนระหว่างจับจอยเล่นอยู่บ่อย ๆ อีกทั้งเสียงก้องกังวาลจากปากกระบอกปืนเวลาที่คุณลั่นไกก็ฟังดูหนักแน่น รุนแรง เต็มไปด้วยพลังทำลายล้างที่พร้อมจะบดเนื้อทหารฝ่ายตรงข้ามให้เป็นชิ้น ๆ และที่ฟังดูโหดที่สุดก็คือเสียงเหล็กตีนตะขาบและปืนใหญ่ของรถถังสงครามโลกที่ใครได้ยินเป็นต้องรีบวิ่งหลบเป็นแถบ ๆ สรุปง่าย ๆ คือเสียงทั้งหลายในเกมนี้ทำให้ปืนทุกชนิดยิงมันส์เป็นบ้า น่าเสียดายที่เสียงดนตรีประกอบของภาคนี้ฟังดูไม่ค่อยฮึกเหิมหรือติดหูเท่าไหร่ หนำซ้ำยังมีแค่โทนเดียวคือช้า ๆ คลอ ๆ เนิบ ๆ จนอาจทำให้คุณเผลอหลับระหว่างรบได้
ลุยเพลิน ๆ กับเรื่องสั้นสุดกินใจ
สำหรับโหมดเนื้อเรื่องของ V ยังยึดตามรูปแบบเดิมจากภาคที่แล้ว ซึ่งก็คือการเล่าเรื่องราวสั้น ๆ ฉบับจบในตัวเองของผู้ที่ต้องต่อสู้ในสมรภูมิสงครามโลกครั้งที่ 2 จากทั่วทุกมุมโลก เรื่องสั้นเหล่านี้ต่างก็เป็นเรื่องราวผ่านมุมมองใหม่ ๆ ที่เกมเมอร์ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นต้นกำเนิดหน่วยวินาศกรรมของสหราชอาณาจักร เรื่องราวของกองกำลังฝ่ายต่อต้านในนอร์เวย์ ตำนานของกองกำลังสัมพันธมิตรผิวสีที่ถูกประวัติศาสตร์ลืมในสงครามโลกครั้งที่สอง และที่เพิ่งได้รับการเพิ่มเข้ามาล่าสุดอย่างเรื่องราวของหน่วยรถถัง Tiger ที่นำเสนอมุมมองของทหารฝ่ายเยอรมัน แม้แต่ละเรื่องราวจะมีแค่ 2 ด่านย่อยให้เล่นและกินเวลาเพียงชั่วโมงหน่อย ๆ แต่มันก็พาผู้เล่นไปชมภาพกราฟิกสวย ๆ เสียงเอฟเฟคต์แจ่ม ๆ และพยายามเล่าเรื่องราวที่แปลกใหม่ทั้งยังกินใจ ไม่ได้มีแต่ฉากบุกยึดหัวหาดที่ถูกใช้กันมาเป็นล้านรอบให้เห็น จุดนี้ต้องขอชมเชยทีม DICE จากใจที่ยอมเสี่ยงนำเสนออะไรแปลกใหม่ในฉากหลังที่สุดจะช้ำอย่างสงครามโลกครั้งที่สอง
สำหรับฉากส่วนใหญ่จะค่อนข้างเปิดกว้างกึ่ง Open-World ให้ผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะลอบเร้นเก็บศัตรูหรือบู๊ล้างผลาญมันตั้งแต่แรก (มีเพียงฉากในเรื่องสั้น The Last Tiger เท่านั้นที่เน้นให้ผู้เล่นขับรถถังบู๊อย่างเดียว) ข้อดีก็คือเกมให้ผู้เล่นได้ครุ่นคิดวางแผนเองในระดับหนึ่ง แต่ข้อเสียก็คือระบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ในเกมนี้ช่างไม่ได้เรื่องเอาซะเลย แผนที่เล็ก ๆ บอกตำแหน่งศัตรูก็ไม่มี ศัตรูมองด้านไหนอยู่ก็ไม่บอก แถมทหารข้าศึกยังตาดียังกับฮอว์คอาย แม้คุณจะพยายามย่องตอดเก็บศัตรูทีละคนแต่สุดท้ายก็มักจะจบที่การสาดกระสุนใส่ทุกคนที่ขวางหน้าอยู่ดีเพราะศัตรูรู้ตัวง่ายเกินไป เมื่อบวกกับเรื่องที่ AI ของมันก็ไม่ได้ฉลาดเท่าไหร่ทำให้รู้สึกว่าการควงปืนฆ่าล้างฐานดูจะเป็นตัวเลือกที่ง่ายและปิดจ๊อบได้ไวกว่า มีเพียงสมรภูมินอร์เวย์ยามค่ำคืนเท่านั้นที่ให้ความรู้สึกลุ้นระทึกเหมือนเกมลอบเร้นจริง ๆ
ซ้ำร้ายหลายฉากยังมีรูปแบบการเล่นคล้ายกันไปหมด คือโยนผู้เล่นเข้าไปในสมรภูมิกว้าง ๆ คนเดียวแล้วปล่อยให้เดินทางไปทำภารกิจบนแผนที่เอง (ส่วนใหญ่ก็คือการไประเบิดอะไรสักอย่างทิ้งนั่นแหละ) ส่วนปืนผาหน้าไม้ที่มีให้ในภาคนี้ก็ไม่ได้มีรูปแบบการใช้งานต่างจากภาค Battlefield I สักเท่าไหร่ อันที่จริงหลายกระบอกเหมือนกับเอาปืนเก่ามาแปะสกินใหม่เลยล่ะ ทำให้พอเล่นไปสักพักก็อดรู้สึกจำเจไม่ได้ อย่างไรก็ตามเนื้อเรื่องใหม่ที่เพิ่มเข้ามาอย่าง The Last Tiger กลับกินใจ อลังการ และคุ้มค่ากับการรอคอยชนิดเหนือจากความคาดหมาย สรุปง่าย ๆ ได้ว่าโหมดเนื้อเรื่องของ Battlefield V ก็คือโหมดสอนเล่นภาพสวย ๆ ยาวหน่อย ๆ และมีเนื้อเรื่องที่สนุกพอให้เล่นเพลิน ๆ ได้นั่นแล
ฮีโร่เค้าอยู่ในสมรภูมิ “มัลติเพลเยอร์”
จริงอยู่ที่โหมดเนื้อเรื่องของภาค V ก็ไม่แย่แต่ใครเค้าซื้อเกม Battlefield มาเพื่อเล่นคนเดียวกันล่ะ มันต้องเอามาโจ้โหมดเล่นกับชาวบ้านสิ! ซึ่งขอบอกตรงนี้เลยว่า DICE ทำออกมาไม่ผิดหวังทั้งในด้านความหลากหลายของโหมดการเล่นและความลุ่มลึกของเกมเพลย์ เริ่มจากโหมดต่าง ๆ ที่มีให้เล่นกว่า 6 โหมด ตอบโจทย์สไตล์การเล่นของเกมเมอร์สายไฝ้ออนไลน์ทุกประเภท ประเดิมด้วยโหมดคลาสสิกทั้งหลายอย่าง Conquest โหมดสัญลักษณ์ของซีรี่ส์ที่ยังมอบประสบการณ์สนามรบสุดอลังการไม่เปลี่ยน โหมด Team Deathmatch สำหรับเกมเมอร์ปืนไวที่ชอบยิงกันให้ตายเป็นหลัก และโหมด Domination ที่เน้นแย่งกันคุมพื้นที่ไปมาในสมรภูมิขนาดกลาง ให้ผู้เล่นได้แสดงมือสาดกระสุนและได้ใช้กลยุทธ์แบบพอดี ๆ
ส่วนโหมดน้องใหม่ที่เพิ่มเข้ามาอย่าง Breakthrough และ Frontlines Small ก็รวดเร็วสะใจ กระตุ้นต่อมอะดรีนาลีนให้สูบฉีดพลั่ก ๆ แต่โหมดใหม่ที่เด่นที่สุดเห็นจะไม่พ้น Grand Operations ที่สนุกตื่นเต้น ให้อารมณ์เหมือนเล่นแคมเปญ (แต่สู้กับคนแทน AI นะ) เพราะคุณต้องพาทีมฟันฝ่าสมรภูมิเดือดต่อเนื่องกันถึง 5 แห่ง แต่ละแห่งก็มีวิธีรบต่างกันและผลแพ้ชนะในสมรภูมิที่แล้วยังส่งผลกระทบต่อการรบในสมรภูมิถัดไป ซึ่งถ้าจะเล่นโหมดนี้ให้จบบริบูรณ์ได้ก็ต้องนั่งโจ้กันเป็นชั่วโมงแน่นวล นี่ยังไม่รวมโหมดใหม่ ๆ ที่จะทยอยเพิ่มเข้ามาจากอัพเดต “Tides of War” ที่จะทยอยขนของฟรีมาให้เกมเมอร์รบกันต่อไปเรื่อย ๆ อย่างเช่น โหมดทัพรถถังล้วนประจัญบาน และโหมด Battle Royale ยอดฮิตที่เกมไหนไม่มีช่วงนี้แล้วดูเหมือนจะเอาท์อีกนะ
ทั้งนี้แผนที่ทั้งหลายในเกมยังได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดี มีทั้งรบในเมือง รบในทุ่ง รบในทะเลทราย รบบนภูเขาหิมะ อาจจะขาดแค่รบในอวกาศเท่านั้นแหละ แต่ละฉากที่มีที่ทางให้พลทหารสายซุ่มยิงและสายบู๊ประจัญบานวาดลวดลายกันอย่างทั่วถึง ที่สำคัญคือสิ่งก่อสร้างทั้งหมดสามารถถูกยิงทำลายให้เป็นจุลได้จากระเบิดสารพัดชนิด ส่งผลให้สนามรบมีพลวัตร เปลี่ยนแปลงไปมาตลอดแบบคาดเดาอะไรไม่ค่อยจะได้ ช่วยเพิ่มความลุ่มลึกให้เกมไปอีกขั้น
สนามรบแห่งนี้ ไม่มีที่ให้หมาป่าเดียวดาย
องค์ประกอบที่ใหม่ที่สุดของ Battlefield V คือการให้ความสำคัญกับคำว่า “ทีมเวิร์ค” สุด ๆ แบบที่ไม่เคยเห็นในภาคไหนมาก่อน บรรดาหมาป่าขาลุยเดี่ยวทั้งหลายจงระวังตัวเอาไว้ให้ดี เพราะถ้าคุณวิ่งบู๊คนเดียวเข้าไปในสมรภูมิแบบที่เคยทำในเกมอื่น คุณจะต้องพบกับประสบการณ์ตายแล้วตายอีกตายมันอยู่นั่นโดยที่ฆ่าใครก็ไม่ได้ ทำประโยชน์อะไรก็ไม่ได้ แถมยังสกอร์ห่วยรั้งท้ายตารางอีก ในทางตรงกันข้าม เหล่าผู้เล่นสายเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่ชอบตบบ่าช่วยเพื่อน ๆ มากกว่าการไล่ยิงชาวบ้านกลับได้ดิบได้ดี เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงานรวดเร็วจนคนอื่นได้แต่นั่งมองตาปริบ ๆ
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าทีม DICE เค้าออกแบบระบบเกือบทั้งหมดในภาคนี้ให้เอื้อกับการเล่นเป็นทีมมาก ๆ มากที่สุด มากจริง ๆนะ ตั้งแต่เข้าเกมคุณก็จะได้รับการจับกลุ่มเข้าไปอยู่ในหน่วยเดียวกับเกมเมอร์คนอื่นโดยอัตโนมัติ รวมถึงได้ไปอยู่ในลิสต์รายชื่อเพื่อนกันแบบชั่วคราวด้วย (ประมาณว่าหากเล่นด้วยกันแล้วถูกใจก็กดชวนเป็นเพื่อนกันจริง ๆ ได้เลย) นอกจากนี้เวลาเลือกจุดเกิดที่เพื่อนในหน่วยเดียวกันก็ได้แต้มเยอะกว่า ชุบชีวิตเพื่อนในหน่วยก็ได้แต้มเยอะกว่า โยนยุทโธปกรณ์ให้เพื่อนก็เยอะกว่าอีก สรุปคือเพียงทำอะไรที่ช่วยหน่วยของคุณก็รับแต้มกำไรไปเลยเท่าตัวประหนึ่งโปรบัตรเครดิต ซึ่งนอกจากเรื่องแต้มที่ล่อตาล่อใจแล้ว หน่วยทหารราบที่รู้จักทำงานเป็นทีม 4 คนและรู้จักสลับคลาสไปมาเพื่อรับมือสถานการณ์ตรงหน้านี่ก็แทบจะไร้เทียมทานเลยทีเดียว เพราะฆ่ายังไงก็ไม่ตาย ต่อให้ตายเดี๋ยวก็เกิดใหม่มาเติมอีก แถมยังกระทืบรถเกราะให้พังได้ในไม่กี่อึดใจด้วย
การที่เกมเน้นทีมเวิร์คขนาดนี้ยังช่วยให้เกมเมอร์ที่ไมได้ถนัดยิงชาวบ้านรัว ๆ เล่นเกมนี้ได้สนุกขึ้น แม้คุณจะไม่ได้เป็นเทพ FPS ก็สามารถเพลิดเพลินไปกับ Battlefield V และสร้างผลงานในแต่ละแมตช์ได้ง่าย ๆ เพียงแค่หาจังหวะช่วยเพื่อนให้ถูกเวลาและมุ่งมั่นทำภารกิจบนแผนที่อย่างสม่ำเสมอคุณก็สามารถติดอันดับต้น ๆ ในเกมได้ไม่ยากเลย อย่างไรก็ตาม การที่ภาค V เลือกที่จะเดินมาสายนี้เต็มตัวก็เป็นดั่งดาบสองคม เพราะมันทำให้เกมเมอร์ที่ชอบลุยเดี่ยวจากเกมตระกูล CoD หมดสนุกชัวร์ นอกจากพวกเขาจะเล่นตามสไตล์เดิมได้ยากแล้ว การเป่าศัตรูดับหนึ่งคนก็ไม่ได้ให้แต้มมากมายและไม่ได้ส่งผลกับทีมข้าศึกขนาดนั้น นอกเหนือไปกว่านั้น บรรดาโหมดที่เน้นการลุยแหลกอย่าง Team Deathmatch หรือ Frontlines Small ก็หาคนเล่นด้วยยากแถมยังไม่สนุกเท่าโหมดที่เน้นทีมเวิร์ค ซึ่งมันยิ่งส่งผลให้จุดอ่อนตรงนี้เห็นชัดขึ้น
ที่ร้ายที่สุดคือเกมเน้นการรบเป็นหน่วยของทหารราบมาก ๆ จนมันไปบดบังรัศมีของยานพาหนะใน Battlefield จนแทบมิด จริงอยู่ที่รถถังทั้งหลายยังพกพลังทำลายล้างสุดโหดเอาไว้แต่พวกมันก็สามารถถูกทหารราบยิงทิ้งได้ไม่ยาก ซ้ำร้ายพวกมันยังอืดอาดแถมขับยาก ส่วนเครื่องบินนี่แทบไม่มีบทให้เล่นเลยเพราะพลังทำลายล้างอ่อนมากแถมกว่าจะได้อัพเกรดแจ๋ว ๆ อย่างการทิ้งระเบิดก็กินเวลานานอีก กลายเป็นของประดับฉากที่เอาไว้ให้เหล่าเสืออากาศบินขู่ศัตรูหรือไล่ยิงกันเองกลางหาวซะมากกว่า
เหล้าเก่าในขวดใหม่สำหรับทหารผ่านศึก
ระบบหลัก ๆ แทบทั้งหมดของ Battlefield V คือการนำของดี ๆ ที่เวิร์คอยู่แล้วจากเกมสมรภูมิสารพัดภาคของ DICE มาปรับใช้เข้าด้วยกัน โดยระบบอัพเกรดได้รับการออกแบบให้เรียบง่ายขึ้นมาก อิงตามระบบของเกม Star Wars: Battlefront 2 (ระบบดี ๆ นะ ไม่ใช่ระบบ Micro transaction ดราม่านั่น) ทำให้ของอัพเกรดแทบทั้งหมดจะเป็นด้านรูปลักษณ์ภายนอก ทั้งชุดยูนิฟอร์มทหาร ทรงปืนและสีปืน มีแต่ศูนย์เล็งเท่านั้นที่อาจมีผลต่อการเล่นบ้าง ซึ่งหากคุณต้องการได้อัพเกรดที่ช่วยให้คุณรบเก่งขึ้นจริง ๆ ก็ต้องไปหวังพึ่งกับความเชี่ยวชาญปืนนามว่า Specialization ที่จะได้มาก็ต่อเมื่อคุณเล่นคลาสนั้นบ่อย ๆ และต้องปลดล็อคตามเงื่อนไขที่เกมกำหนด ข้อดีของสไตล์อัพเกรดแบบนี้คือเข้าใจง่ายมาก ส่วนข้อเสียคือเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์อาจจะไม่มีเป้าหมายให้เล่นยาว ๆ เหมือนตอน Battlefield ภาค 3 และ 4 ที่มีของเล่นแต่งปืนให้ปลดล็อคนับไม่ถ้วน แถมแต่ละชิ้นยังมีผลต่อประสิทธิภาพของปืนไม่มากก็น้อย
กลยุทธ์การรบของภาค V นั้นไม่ได้แปลกใหม่แหวกแนวเหมือนช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่าง Battlefield 4 มาเป็น Battlefield 1 ครั้งนี้ทีม DICE เขาใช้แผนการรบที่เน้นชนะชัวร์ตามที่ระบุในตำราเหมือนตอนนำภาค Battlefield 3 ไปสู่ภาค Battlefield 4 มันคือกลยุทธ์ที่เน้นพัฒนาต่อยอดจากเกมภาคก่อนแทนการยกเครื่องทำใหม่ทั้งหมดจากศูนย์ พวกเขาพยายามขัดเกลาของที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น พยายามตบแต่งให้ภาคนี้กลายเป็นมัลติเพลเยอร์เกมที่ชูจุดขายเรื่องทีมเวิร์คอย่างเต็มรูปแบบ ผลลัพธ์ที่ออกมาคือเกม Battlefield ที่สมบูรณ์และสมดุลมาก ๆ ซึ่งมาพร้อมกับความรู้สึกซ้ำซากจำเจเช่นกัน (แถมฉากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่โดนใช้มาจนพรุนก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่) สมรภูมิแห่งนี้จะตรงใจคุณหรือไม่คงต้องถามใจตัวเองดู หากคุณเป็นแฟนซีรี่ส์นี้อยู่แล้ว ชอบเล่นเป็นทีมอยู่แล้ว และชอบแมตช์มัลติเพลเยอร์ที่สมดุลสุด ๆ Battlefield V จะเป็นสมรภูมิที่น่าจดจำสำหรับคุณ แต่หากคุณชอบความแปลกใหม่ ชอบโชว์เหนือคนเดียว และชอบเล่นโหมดเนื้อเรื่องยิ่งกว่าอื่นใด ข้ามสมรภูมิแห่งนี้ไปก็ไม่เสียหลายนะครับ
ขอบคุณ NGIN และ Nadz Project สำหรับการสนับสนุนรีวิวในครั้งนี้ครับ