Our score
7.4The Dark Pictures Anthology: Man of Medan
จุดเด่น
- การสร้างบรรยากาศสยองขวัญเอาตัวรอดที่ดีมาก ๆ
- มุมมองการเล่าที่หลากหลาย ทางเลือกส่งผลต่อตัวละครในเชิงลึก
- เมื่อจบ สามารถกลับไปเล่นแบบเลือกฉากได้ ทำให้ลองสำรวจเส้นเรื่องที่แตกต่างง่ายขึ้น
จุดสังเกต
- จุดเฉลยเดาง่าย และปล่อยไวไป
- ระบบการเล่นและกราฟิก แย่ลงกว่าเกมก่อนหน้า
- เกมสั้นมาก ไม่ค่อยน่ากลับไปเล่นซ้ำ
-
เนื้อเรื่อง
7.0
-
กราฟิก
6.5
-
ระบบการเล่น
7.5
-
ความสนุกน่าติดตาม
8.5
-
ความคุ้มค่า
7.5
จากผู้สร้างเกมแนวควิกไทม์อีเวนต์ เน้นให้ผู้เล่นกำหนดเส้นเรื่องด้วยตนเอง อย่าง Supermassive Games ที่เคยมีผลงานเด็ดเป็นเอกซ์คลูซีฟบนเครื่อง PS4 อย่าง Until Dawn มารอบนี้พวกเขายังคงดำเนินแนวทางสยองขวัญสั่นประสาท แวดล้อมด้วยบรรยากาศลึกลับไม่น่าไว้วางใจ และแน่นอนมากมวลด้วยเหตุการณ์ที่พร้อมจะฆ่าทุกตัวละครหากเราตัดสินใจหรือกดปุ่มพลาด ด้วยโพรเจกต์สุดทะเยอทะยานอย่าง The Dark Pictures Anthology ที่ใช้ไอเดียแบบซีรีส์สยองขวัญ ว่าด้วยภัณฑารักษ์สูงวัยผู้ดูแลหนังสือและภาพเขียนเก่าแก่ ที่จะมาเล่าเรื่องสยองขวัญให้เราฟังในแต่ละตอน คล้ายพวกเรื่องเล่าแบบรายการ Tale from the Crypt เรื่องเล่าจากหลุมศพ หรืออย่างบ้านเราก็เคยมีเช่น ยายกะลา ตากะลี ที่มีผีเฒ่ามาเล่าเรื่องสยองให้ฟัง
โดยภาพวาดที่ซ่อนในฉากของเรื่องเล่านั้นก็สร้างนิมิตถึงเหตุการณ์ในอนาคตเพื่อใบ้ผู้เล่นได้ด้วย ซึ่งก็เป็นกิมมิกที่ล้อกับชื่อเกมที่ว่า The Dark Pictures คือคิดคอนเซ็ปต์มาลงตัวเลยนะ ภัณฑารักษ์ปริศนา หนังสือต้องสาป ภาพวาดผีสิง และเรื่องเล่าสยองที่ซับซ้อนหลอกล่อให้เรางุนงงสงสัย โดยเรื่องแรกที่ Supermassive Games ได้เลือกมาเปิดหัวโพรเจกต์นี้ก็คือตอนที่ชื่อว่า Man of Medan นี่เอง
เนื้อเรื่องของ Man of Medan
ด้วยความที่เป็นเกมขายเนื้อเรื่องอยู่แล้ว ส่วนนี้จึงน่าจะได้รับความพิถีพิถันมากที่สุดของเกม เพราะถ้าเนื้อเรื่องเอาไม่อยู่ให้เกมเพลย์ดีเท่าใด ก็อาจทำเอาแฟนแนวเกมนี้ส่ายหัวเอาง่าย ๆ โดยเนื้อเรื่องของเกมจะมีอินโทรสั้น ๆ เพื่อเกริ่นเรื่องราว ทั้งยังเป็นส่วนของการฝึกวิธีการเล่นไปในตัวด้วย เปิดเรื่องมาเราจะได้ตามชีวิตของทหารอเมริกันในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กำลังได้เดินทางกลับบ้านด้วยเรือรบนามว่า Medan หลังจากผ่านภารกิจสำคัญมาได้ โดยหนึ่งในสัมภาระสำคัญที่ถูกลำเลียงขึ้นเรือไปพร้อมกันจากท่าเรือในประเทศจีน คือ ร่างของทหารผู้พลีชีพในโลงศพคลุมธงชาติสหรัฐ ที่เพิ่มบรรยากาศสยองขวัญขึ้นทันที นอกจากนั้นยังมีลังปริศนาที่มีสัญลักษณ์กระดูกไขว้จำนวนหนึ่งถูกขนขึ้นอย่างระมัดระวังด้วย เราจะได้เล่นเป็น 1 ในทหารที่ตื่นมาจากอาการป่วยและพบว่าบัดนี้ลูกเรือต่างกำลังถูกคุกคามจากบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัว พวกเขาอาละวาด และบางคนก็ตายอย่างสยดสยองด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับหวาดกลัวบางอย่าง
เรื่องราวตัดข้ามมายังปัจจุบัน ชายหนุ่มกับแฟนสาว พร้อมน้องชายของทั้งคู่รวม 4 คนกำลังจะออกทริป โดยเช่าเรือของกัปตันสาวห้าวเพื่อล่องมหาสมุทรและดำน้ำในจุดที่พบเรือและเครื่องบินสมัยสงครามโลก และนั่นก็เป็นจุดเริ่มของเรื่องราวต่าง ๆ เมื่อคู่รักได้พบหลักฐานบางอย่างจากซากเครื่องบินใต้น้ำที่บ่งชี้ถึงทองคำที่ถูกขนไปกับเรือ Medan แม้กัปตันสาวจะเตือนนักหนาว่าอย่าไปยุ่งสมบัติผู้ตายจากท้องทะเล และในคืนนั้นเองเคราะห์ซ้ำกรรมซัดให้พวกเขาถูกโจรสลัดปล้นเรือ และทั้งหมดก็ได้เผชิญเรือร้าง Medan โดยไม่คาดคิดท่ามกลางพายุกระหน่ำ เรื่องราวสุดสยองขวัญบนเรือผีสิงของเหล่าหนุ่มสาวที่ต้องเผชิญทั้ง ซากศพ วิญญาณ ปริศนาบนเรือ และหนีการไล่ล่าจากกลุ่มโจรจึงเริ่มขึ้นนับจากนั้น
พูดกันแบบเข้าเรื่องเลยคือ เนื้อเรื่องเกมนี้เปิดหัวได้น่าสนใจมากในยุคสงครามโลก ก่อนจะแผ่วลงมากในช่วงเปิดตัวยุคปัจจุบัน และกว่าจะเข้มข้นอีกครั้งก็นู่นขึ้นเรือผีไปแล้วนั่นล่ะ และถ้าคุณเป็นสายสำรวจยับอ่านทุกอย่างที่เก็บได้ คุณก็จะพอเดาเรื่องราวปริศนาได้ตั้งแต่กลาง ๆ เกมแล้วด้วย คือน่าเสียดายไปนิดที่เกมไม่ได้วางหมากซับซ้อนพอ หรือไม่ก็วางเบ็ดล่อที่โฉ่งฉ่างเกินไปจนคนเล่นเดาทางได้ไปเสียก่อน ความลุ้นหรือสงสัยอยากรู้ฉากจบเลยไม่ได้มีมากเท่าเกมในแนวเดียวกัน หรือแม้แต่กับเกมก่อนหน้าอย่าง Until Dawn เลย และเมื่อบวกกับเนื้อหาที่ไม่ได้ยาวเท่าไหร่เลย เล่น 5-6 ชั่วโมงก็จบได้ เลยรู้สึกว่ามันอาจไม่ค่อยอิ่มค่อยคุ้มเท่าไหร่กับเนื้อเรื่องที่มีเท่านี้
การนำเสนอของ Man of Medan
บรรยากาศของเกม อาจเป็นจุดแข็งที่ทำให้ตัวเกมดูน่าสนใจและน่ากลัวมาก เพราะการสร้างบรรยากาศอึดอัดในทางเดินแคบ ๆ มืด ๆ บนเรือ ผนังเก่าเกรอะสนิม ข้าวของเครื่องใช้ผิดยุคผิดสมัย และซากศพที่ตายอย่างผิดปกติมากมายทุกซอกมุมบนเรือ ยิ่งโถงที่บรรทุกโลงศพยิ่งน่าขนลุก มันคือไม้ตายจริง ๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าเราเล่นไป กลัวไป สงสัยครุ่นคิดว่าข้างหน้าจะมีอะไรโผล่ออกมา เพราะเกมยังเล่นกับผู้เล่นด้วยสารพัดฉากตุ้งแช่ หรือ Jump Scare จนบางทีไม่ค่อยกล้าจะเดินไปไหนเลย ยิ่งเสียงเงียบ ๆ ชวนลุ้น และจังหวะตกใจที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวก็ทำให้เกมนี้กลายเป็นอีกหนึ่งความสยองของผู้เล่นได้ง่าย ๆ เลย
แต่กระนั้นข้อเสียมันก็มี เพราะถึงจะวางจัมป์สแกร์เป็นหมากสำคัญที่จะหลอกผู้เล่น แต่ความแม่นของจังหวะที่จะทำให้สำเร็จผลนั้นก็มีเพียงไม่กี่ครั้ง หลายครั้งที่แป้กก็มี คือบางฉากเฉยมาก ซึ่งเรื่องนี้ต้องพูดพ่วงไปถึงเรื่องของการออกแบบเพอร์ฟอร์แมนซ์ของเกมและกราฟิก ซึ่งเข้าใจว่าหันมาใช้เอนจิน Unreal 4 แทนเอนจิน Decima ซึ่งเคยใช้ในเกมก่อนหน้า ที่กลายเป็นว่าทำให้รู้สึกว่าเกมหน่วงกระตุก รวมถึงโหลดไม่ทันอยู่หลายครั้งแม้จะใช้เครื่อง PS4 Pro แล้วก็ตาม ซึ่งจังหวะหน่วงนั้นมีผลอย่างมากในเรื่องอรรถรสของเกมที่สูญไป นอกจากนี้ตัวกราฟิกก็ดูธรรมดาจนเราไม่ค่อยอิน ต่างจากตอน Until Dawn ที่สวยจนเหมือนดูหนังอยู่ แต่กับ Man of Medan ที่ใช้เกมเอนจินใหม่กลับได้ภาพที่ดูขาดรายละเอียด ซากศพดูไม่สยดสยอง ในขณะที่ตัวละครต่าง ๆ ก็ดูออกแนวการ์ตูนสามมิติมากกว่าคนที่สมจริง ท่าทางการเคลื่อนไหวก็แข็งขัดเขินชอบกล ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นเลยกับทีมสร้างที่มีประสบการณ์ยิ่งกับเกมสไตล์เน้นการเล่าเรื่องแบบนี้ด้วย
ความไม่ลื่นไหลยังมีปรากฏในการตัดต่อเชื่อมเรื่องราวด้วย เพราะหลายสถานการณ์ที่เป็นคัตซีนก็ไม่ค่อยเคลียร์นักว่าเกิดอะไรขึ้น ทิ้งให้ผู้เล่นคิดเองแบบไม่รับผิดชอบก็มีประปรายด้วย ก็เป็นจุดบกพร่องที่ไม่น่ามีในเกมเน้นเนื้อเรื่องราวชมภาพยนตร์เช่นนี้ล่ะนะ
และอาจเพราะเกมอาศัยความเงียบเป็นอาวุธเสริมส่งการใช้เสียงให้ตกใจ ทำให้ภาคดนตรีของเกมนี้ไม่ค่อยเน้นเท่าไร และทำออกมาได้ทื่อมากจนเราแทบไม่ได้สนใจมัน เสียงประกอบที่สร้างบรรยากาศหลอกหลอนก็ซ้ำ ๆ ซาก ๆ มารูปแบบเดียวตลอดจนเล่น ๆ ไปเราก็อาจชินชาได้ พูดรวม ๆ ในแง่การนำเสนอก็มีทั้งจุดดีและจุดเสียมากพอ ๆ กัน แต่จุดเสียนั้นอาจจะไม่ได้ร้ายแรงแต่ก็ชวนหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
จุดที่อยากพูดอีกอย่างคือ เกมนี้ลดความรุนแรงลงเยอะมากจาก Until Dawn ฉากตายโหด ๆ ที่ชวนอกสั่นขวัญแขวนหายไปแทบหมด อาจด้วยเป็นความตั้งใจของทีมงานที่อยากให้เข้าถึงแฟนเกมรุ่นเยาว์มากขึ้น แต่น่าเสียดายที่มันลดทอนจนกลายเป็นจืดชืดเอาเสียมากกว่า ฉากสยอง ๆ ที่ให้ขนหัวลุกก็น้อยมากเมื่อเทียบกับเกมแนวเดียวกัน คือตัดบรรยากาศที่ดีออกเกมก็แทบไม่มีอะไรน่ากลัวจริง ๆ เลย
ระบบการเล่นของ Man of Medan
เกมนี้เราจะต้องไขปริศนาต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายผ่านตัวละครถึง 5 ตัวด้วยกัน โดยการตัดสินใจของแต่ละตัวละครก็จะส่งผลถึงลักษณะนิสัยของตัวละครนั้น ๆ ที่จะสร้างทางเลือกในเหตุการณ์หลังจากนั้นที่แตกต่างกัน ทั้งยังส่งผลต่อระดับความสัมพันธ์กับอีก 4 ตัวละครที่เหลือตลอดเวลาด้วย โดยเราสามารถกดปุ่ม R1 เพื่อเข้าไปดูค่าเหล่านี้ได้ตลอดเวลาเลยด้วย ซึ่งจะทำให้เรารู้ว่าขณะนี้ตัวละครที่ควบคุมกำลังรู้สึกหรือมีบุคลิกไหนเด่นชัดขึ้นในสถานการณ์นั้น ๆ ด้วย ตรงนี้ทำให้เกมดูมีความลึกขึ้น แต่ก็อยากให้ปรับปรุงให้ค่าเหล่านี้ส่งผลกับเนื้อเรื่องมากขึ้นแบบเห็นความต่างชัด ๆ มากกว่านี้ด้วยล่ะนะ ในตอนนี้เล่นไปก็ไม่รู้สึกเท่าไหร่ว่าการเลือกที่เปลี่ยนค่านิสัยหรือความสัมพันธ์จะส่งผลร้ายแรงต่อเนื้อเรื่องที่ถูกบังคับมากลาย ๆ เท่าไรนัก
สำหรับการควบคุมก็ยังเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดตามลักษณะเกมมุมมองบุคคลที่สามที่เน้นการเดินสำรวจ เพราะเราต้องคุมทั้งทิศทางและการเคลื่อนที่ไปในตัว ทั้งยังการหมุนตัวเพื่อหาทิศก็ไม่ได้ลื่นไหลนัก แต่เมื่อเล่น ๆ ไปก็จะจับจุดได้และเล่นคล่องขึ้นเอง แต่เพราะไม่มีปุ่มวิ่งทำให้เกมออกจะค่อยเป็นค่อยไปจนอืดไปสักหน่อย ก็ยังดีที่การสำรวจนั้นมักจะเป็นสถานที่ใหม่ ๆ อยู่ตลอด น้อยครั้งมากที่เราจะได้กลับมาสำรวจจุดเดิม ทำให้ลดความน่าเบื่อที่จะต้องทำอะไรซ้ำ ๆ ลงไปได้บ้าง
และจุดที่ช่วยให้เกมสนุกก็คือ ควิกไทม์อีเวนต์ ที่หลากหลาย มีทั้งกดปุ่มให้ตรงในเวลาที่กำหนด การกดรัวให้เกจเต็มในเวลาที่กำหนด การเคลื่อนลูกศรเข้าหาพื้นที่เป้าหมายให้ทัน และที่ยากชะมัดคือการกดให้ตรงจังหวะหัวใจเต้นที่เป็นแถบวิ่งเข้ามา ซึ่งบางช่วงก็ยากจนนึกว่าเกมบังคับให้ไปแค่รูทนี้เสียแล้ว (แต่ก็ไม่ใช่หรอก) ใครถนัดเล่นเกมแนวเต้นอาจจะมองว่าง่ายก็ได้นะ แต่ส่วนตัวไม่ชินสักที จุดที่เสียไปและชอบมากในตอนเกม Until Dawn อย่างการคุมจอยให้นิ่งที่สุดนั้น ก็น่าเสียดายมาก เพราะช่วยสร้างมิติหลากหลายให้การเล่นได้ดี แต่เพราะเกมนี้เลิกเป็นเอกซ์คลูซีฟบน PS4 แล้ว ฟังก์ชันที่เล่นกับเซนเซอร์ของจอยทั้งหลายเลยหายไปด้วย ถ้ามองแบบเทียบกันก็ต้องบอกว่าเป็นพัฒนาการที่แย่ลงของทีมสร้างล่ะนะ
อีกจุดที่เพิ่มเข้ามาและดูน่าสนใจเหมือนกันคือการเล่น Co-op กับเพื่อนของเราแบบ 2 จอย หรือจับคู่เล่นผ่านออนไลน์ ที่น่าจะสร้างความสนุกและแตกต่างจากการเล่นคนเดียวได้ดี แต่เนื่องจากยังไม่ได้ลองเล่นในโหมดนี้ก็ขอไม่พูดอะไรมากแล้วกันนะครับ แต่เป็นโหมดการเล่นที่ดูน่าสนใจดีแม้ส่วนตัวจะรู้สึกว่าตัวเกมทั้งเนื้อหาและเกมเพลย์หาย ๆ ฉาก ดูไม่ได้เอื้อสำหรับระบบเล่นร่วมกับเพื่อนก็ตามที
สรุป
นี่เป็นเกมเน้นเนื้อเรื่อง ปริศนา การไขความลับ และการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครผ่านสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งได้ทีมที่มากประสบการณ์มาดูแล แม้จะมีคอนเซปต์การเล่าที่น่าสนใจมาก มีการสร้างบรรยากาศที่ดีมาก แต่ก็น่าเสียดายว่าด้วยความถดถอยอันเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับเกมก่อนหน้าของทีมงานนี้ ไม่ว่าจะเรื่องกราฟิก เพอร์ฟอแมนซ์ ความรุนแรงความสะใจที่ไม่ค่อยสนองตอบต่อแฟนรุ่นใหญ่ ระบบการเล่น ความยาวของเกม ความอยากเล่นซ้ำที่ไม่มากนัก และเนื้อเรื่องจุดหักมุมที่เดาง่าย ก็ได้แต่เอาใจช่วยให้ตอนต่อไปที่ชื่อว่า The Little Hope ซึ่งจะวางขายในปี 2020 ทีมงานจะรีบปรับปรุงและนำประสบการณ์ขนหัวลุกสนุก ๆ มาให้แฟน ๆ ของ Supermassive Games ได้อีกครั้งล่ะนะครับ เพราะอย่างไรเสียเกมแนวนี้มา ก็ต้องขอเล่นแน่นอนอยู่แล้วล่ะนะ เพราะในใจลึก ๆ ก็ยังศรัทธากับค่ายเกมนี้อยู่มาก ๆ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส