เคยได้ยินคำแซวในหมู่คนเล่นเกมด้วยกันไหมครับว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ Square Enix เริ่มเสียศูนย์ (พูดง่าย ๆ คือจะเจ๊ง) “พวกเขายังมีไม้ตายก้นหีบอยู่นั่นคือ Final Fantasy VII” ผลงานสุดคลาสสิกที่ในตอนนี้ได้ถูกนำมาปัดฝุ่นอีกครั้งในรูปแบบรีเมก ที่ได้เขย่าให้วงการเกมและหัวใจของเกมเมอร์รุ่นหนวดหลายคนจิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอย และในวันนี้ตัวเกมได้วางจำหน่ายเป็นที่เรียบร้อย มาดูกันดีกว่าครับว่าภาพรวมของเกมจะเป็นเช่นไร? หลังเล่นจบ ผมมีคำตอบให้กับทุกข้อครหาก่อนเกมออกทั้งหมด ถ้าอยากรู้กัน เชิญหาคำตอบได้ในบทความรีวิวนี้เลยครับ
เนื้อเรื่องร้อยเรียงใหม่ไฉไลกว่าเดิม (Story)
เรื่องย่อ คลาวด์ สไตร์ฟ (Cloud Strife) ทหารรับจ้างฝีมือดีผู้สูญเสียความทรงจำ ได้ถูกว่าจ้างโดยบาร์เร็ต วอลเลซ” (Barret Wallace) ผู้นำกลุ่มคนใหม่ขององค์กรใต้ดินนาม Avalanche ให้ไปร่วมปฎิบัติภารกิจระเบิดเตาปฎิกรณ์ของบริษัท ชินระ (Shinra) องค์กรนายทุนที่มีอำนาจทางการเมืองปกครองเมือง Midgar (มิดการ์) ด้วยเทคโนโลยีประสิทธิภาพสูงที่ใช้ขุมพลังจากแหล่งที่มาปริศนาซึ่งเป็นภัยต่อทุกสิ่งมีชีวิต โดย Avalanche ทำลายเตาปฎิกรณ์ได้สำเร็จ แต่นั่นได้ทำให้เกิดเหตุการณ์ปริศนามากมายขึ้น ซึ่งคลาวด์ก็ได้รับผลกระทบ เขาได้เห็นทั้งความทรงจำที่ขาดหายไปกลับเข้ามาในหัวอีกครั้งเป็นระยะ ๆ ทำให้เขาค่อย ๆ ปะติดปะต่อตัวตนของตัวเอง “และตัดสินใจที่จะหยุดยั้งองค์กรชินระด้วยมือของเขาพร้อมสหายที่พบเจอตลอดภารกิจปฏิญาณตนนี้ก่อนที่จะสายเกินไป”
ถ้าฟังแค่รื่องย่อ ก็น่าจะรู้สึกกันได้ว่าเนื้อเรื่องนั้นแทบจะเหมือนเดิมทุกประการใช่ไหมล่ะครับ? แต่หลังจากที่ผมเล่นจบ ผมพบว่าเนื้อเรื่องในเวอร์ชันนี้ “คือส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเกม” เรื่องราวของเกมที่คุณเคยเล่นกันมาเมื่อ 23 ปีก่อน “จะถูกนำมาเรียบเรียงใหม่ทั้งหมด” ที่มันก็เต็มไปด้วยความพิถีพิถันในการ้อยเรียงเหตุการณ์มาก ๆ จนมันแทบจะกลายเป็นเกมใหม่ไปเลย จะยังคงอยู่ก็แค่บุคลิกของตัวละครทุกตัวไม่เว้นแม้แต่ตัวประกอบอดทนจะยังเป็นคน ๆ เดิม (หรือตัว…) ที่เรารู้จักกันในอดีต แต่จะถูกเพิ่มมิติเข้าไปในการแต่ละจังหวะของการดำเนินเนื้อเรื่องจนเกิดโมเมนต์ที่น่าจดจำกว่าเดิมเยอะมาก ๆ และใครที่รอเนื้อเรื่องตอนคลาวด์แต่งหญิง บอกเลยว่ามันจะพีคถึงขั้นว่าเวอร์ชันต้นฉบับเทียบไม่คิดเลยละ
ซึ่งตลอดการผจญภัยกว่า 30 – 40 ชั่วโมง เราจะได้สุขไปกับพวกเขา ดีใจไปกับพวกเขา ยิ้มไปกับพวกเขา และเศร้าเสียใจไปกับพวกเขา ที่เมื่อผสมเข้ากับการกำกับคัตซีน มุมกล้อง, การแสดงกิริยาท่าทางของตัวละคร ทั้งหมดทั้งมวลจะทำให้ภาพความทรงจำของผู้เล่นที่มีต่อตัวละครหน้าเดิม ๆ ที่เรารู้ชะตากรรมอยู่แล้วจากภาคต้นฉบับ “เป็นความทรงจำที่ควรค่าจำจดไว้ยิ่งกว่ายิ่งกว่าเดิม และถึงแม้คุณจะไม่สัมผัสภาคต้นฉบับมาก่อน มันก็ยังเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่ามาก ๆ ที่สื่อประเภทเกมจะให้ได้”
และหลายคนน่าจะได้รู้จากข่าวคราวของเกมกันบ้างว่าตัวเกมจะถูกแบ่งเป็นพาร์ต ซึ่งก็ถูก โดยในพาร์ตแรกจะจบลงที่การเดินทางออกจากมิดการ์ ในตอนแรกที่รู้ข่าวผมก็แช่งเวอร์ชันนี้ไปแล้วละว่ามันจะต้องออกมาห่วย ออกมาเป็นงานเผา แต่พอได้เล่นจริง ๆ บอกตรงนี้เลยครับว่า “ไม่ใช่เลย” Square Enix คิดถูกแล้วที่ทำการแบ่งเป็นพาร์ต “เพราะขนาดแค่พาร์ตแรก เรายังได้รับการบอกเล่าเนื้อเรื่องที่ละเมียดละไมมาก ๆ
เอาตรง ๆ คือในด้านของเนื้อเรื่องนี่แทบจะไม่มีแผลใหญ ๆ อะไรให้ตำหนิเลย จะมีก็แค่เรื่องเดียวคือตัวเกมค่อนข้างเป็นเส้นตรง ไม่มีทางเลือกในการตัดสินใจหรือการเปลี่ยนเนื้อเรื่องใด ๆ และนั่นก็หมายถึงผู้เล่นจะไม่สามารถเถลไถลได้มากนัก แต่ไม่แน่ ถ้าคุณได้ลองเล่นกันดู การเล่าเรื่องแบบเส้นตรงนี้อาจจะไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะคุณจะถูกกลบวิธีการเล่าเรื่องของเวอร์ชั่นนี้ที่ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปแต่หนักแน่นในทุก ๆ ก้าวที่เดิน
แอ็กชันเน้น ๆ และเอกลักษณ์เดิมในรูปโฉมใหม่ (Gameplay)
เห็นได้ชัดเลยว่าการต่อสู้ของ Final Fantasy VII Remake ได้แบ่งสัดส่วนให้กับของการเล่นแบบแอ็กชันมากขึ้น (ราว ๆ 60% ส่วน RPG อยู่ที่ 40%) แต่กระนั้นก็ยังความเป็นเอกลักษณ์เดิมไว้ โดยในการบังคับพื้นฐาน ผู้เล่นจะสามารถโจมตี เคลื่อนที่ ป้องกันและหลบหลีกได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งแต่ละตัวละครจะมีความสามารถที่เหมาะสมกับศัตรูและสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไปอย่างชัดเจน เช่น คลาวด์ จะเก่งกับศัตรูที่มาเป็นจำนวนมาก ในขณะที่แบเร็ตจะโจมตีจากระยะไกล หรือศัตรูที่ไม่ได้อยู่บนพื้นได้ดีกว่าใครเพื่อน เป็นต้น แล้วทำให้ระบบเกจออกคำสั่งในตำนานอย่าง ATB (Active Time Battle) เป็นการใช้ความสามารถพิเศษ การใช้ไอเทมและการใช้เวทย์แทน ซึ่งเกจจะเต็มเร็วขึ้นหากผู้เล่นโจมตี ป้องกัน หรือแม้แต่การถูกโจมตีจากศัตรู
และในเวอร์ชันนี้ ตัวเกมก็ได้นำเสนอระบบใหม่ที่จะทำให้การต่อสู้ดุเดือดและท้าทายมากขึ้นในชื่อ “Stagger” เกจค่าพลังใต้หลอดเลือดของศัตรูทุกตัวที่หากเราใช้การโจมตีที่มันแพ้ทางหรือด้วยท่าพิเศษจนเกจเต็ม ศัตรูตัวนั้น ๆ ก็จะติดสถานะ Staggered (เสียสูญ) ส่งผลให้การโจมตีทุกเม็ดทุกดอกของเราที่ใส่มันจะมีพลังโจมตีที่แรงขึ้นระยะเวลาหนึ่ง แต่ทั้งนี้ใช่ว่าศัตรูทุกตัวจะยอมเสียท่าให้กับเราง่าย ๆ เพราะหากการโจมตีนั้น ๆ พวกมันไม่ได้แพ้ทาง เกจดังกล่าวก็จะเต็มอย่างเชื่องช้า บวกเข้ากับ A.I ศัตรูของเกมที่ชาญฉลาดในระดับหนึ่ง (และจริง ๆ พวกมันฉลาดกว่า A.I. เพื่อนเราด้วยซ้ำ…) ส่งผลให้ผู้เล่นต้องรู้จักการพลิกแพลงการโจมตีที่เหมาะสมกับศัตรูแต่ละตัวเพื่อสร้างความได้เปรียบในตอนสู้ให้ได้มากที่สุด
แน่นอนว่าเมื่อเป็นเกมแนวแอ็กชัน-RPG สิ่งที่จะต้องมีก็คงจะหนีไม่พ้นระบบพัฒนาตัวละคร และเห็นได้ชัดเจนว่าตัวเกมเลือกที่จะให้ผู้เล่นจดจ่อกับการเล่นแบบแอ็กชันมากกว่าพุ่งเป้าเข้ากองหญ้าฟาร์มเลเวล โดยเวอร์ชันนี้ทุกอาวุธของแต่ละตัวละครจะติดตัวแบบถาวรไม่สามารถนำไปขายได้ และก็จะไม่มีอาวุธชิ้นไหนที่ให้ค่าสเตตัสเยอะไปกว่ากัน แต่ขึ้นอยู่กับผู้เล่นว่าจะเลือกอัปเกรดให้อาวุธแต่ละชิ้นเด่นชัดไปในทิศทางไหน โดยที่แต่ละชิ้นจะแยกแต้มอัปเกรดเป็นของตัวเอง ทำให้เราสามารถสับเปลี่ยนอาวุธตามความเหมาะสมได้ทั้งเกม
และในเวอร์ชันนี้ก็ยังคงมีระบบ Materia (มาทีเรีย) ที่ความสำคัญกับการเล่นไม่แพ้ทักษะแอ็กชันเลยละครับ โดยมาทีเรียคือไอเทมที่จะต้องทำการติดตั้งผ่านอาวุธหรือเครื่องป้องกันเพื่อให้สามารถใช้งานสกิลหรือความสามาถต่าง ๆ ที่เมื่อรวมเข้ากับการอัปเกรดอาวุธ เราจะสามารถปรับแต่งตัวละครทุกตัวให้มีความเด่นชัดด้านใดด้านหนึ่งได้
ต้องบอกเลยว่าระบบการเล่นในภาคนี้ มีความยืดหยุ่นสูง หนำซ้ำยังมีความลื่นไหลให้ความรู้สึกไม่ขาดช่วงของจังหวะการเล่นมากนักที่เป็นผลพวงมาจากการที่ตัวเกมนำเสนอความเป็นแอ็กชันมากขึ้นนั่นแหล่ะ
งานภาพสวยงามข้ามยุคข้ามสมัย (Visual & Performance)
ถ้าจะให้ผู้เขียนจัดอันดับสิ่งที่เยี่ยมยอดของตัวเกมเวอร์ชันนี้ บอกเลยครับว่างานภาพและกราฟิกคืออันดับต้น ๆ เพราะมันช่างสวยงามสมจริงยิ่งใหญ่อลังการมาก ๆ ผู้เล่นจะได้เห็นเขตสลัมต่าง ๆ ในวันวานจากตัวเกมต้นฉบับถูกขยายสเกลให้ของแต่ละพื้นที่ให้กว้างขวางขึ้นเยอะมาก ๆ และรายละเอียดของฉากนั้นจัดหนักจัดเต็มโดยเฉพาะ “แสงเงา” ที่ขับส่งให้ภาพรวมทั้งหมดเสมือนจริง ทั้งการไล่ระดับแสง, คอนทราสต์ ไปจนถึงลำแสงพาดผ่านวัตถุ (God Ray)
อีกเรื่องคือโมเดลตัวละครภายในเกมที่ถูกปั้นออกมาด้วยความประณีต ในจังหวะที่มุมกล้องซูมเข้าหาหน้าตาตัวละครผู้เล่น เราจะได้เห็นทั้งรูขุมขน เงาตกกระทบของอวัยวะบนหน้า ประกายในดวงตา หรือแม้ทรงผมที่พลิ้วไหว และเมื่อผู้ถึงกราฟิก อีกเรื่องที่ต้องพูดถึงและพ่วงมาโดยปริยายคือประสิทธิภาพ (Performance) ที่บอกเลยว่าเกมนี้รีดเค้นฮาร์ดแวร์และศักยภาพของ PlayStation 4 ออกมาจนหยดสุดท้าย โดยในระหว่างการเล่นผู้เล่นจะไม่เจอปัญหาอาการเฟรมเรตตกในจำนวนเลยแม้แต่ครั้งเดียว (จะมีก็แค่ 1 – 4 เฟรมบ้างในบางครั้ง) ไม่เพียงเท่านั้น ความลื่นไหลของการส่งต่อจังหวะการเล่นเข้าสู่คัตซีนก็ลื่นไหลไร้รอยต่อที่ไม่ใช่การ Pre-Render! (จริง ๆ ก็มีอยู่เหมือนกันแต่จะถูกใช้ในฉากเนื้อเรื่องสำคัญ ๆ)
นี่คือเกมที่จะส่งไม้ต่อจากภาคต้นฉบับกลายเป็นผลงานอมตะที่จะ “ค้างฟ้าไปตลอดกาล”
นี่คือเกมที่จะทำให้เกมเมอร์ในวันวานกลับมาคิดถึงอดีตที่เคยรู้สึกตื่นตากับเกมภาคต้นฉบับอีกครั้ง ด้วยการร้อยเรียงเรื่องราวใหม่ทั้งหมดให้เราอิ่มเอมดื่มด่ำไปกับการผจญภัยมากกว่าเดิม ระบบการต่อสู้ที่ร่วมสมัยและในขณะเดียวกันก็ผสมผสานเอกลักษณ์เดิมไว้อย่างลงตัว และงานภาพที่สวยงามตระการตาราวกับข้ามมาจากอนาคต “ทั้งหมดทั้งมวลคือประสบการณ์อันแสนวิเศษที่ผู้เล่นจะได้จาก Final Fantasy VII Remake ครับ”
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส