Our score
8.2[REVIEW] Hatsune Miku: Project DIVA Mega Mix ครบรอบ 10 ปี Project DIVA ที่คราวนี้มาอยู่บน Nintendo Switch
เกมที่แฟน ๆ Vocaloid ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
เกมที่เกิดบนเครื่อง Handheld และกลับมาบนเครื่อง Handheld อีกครั้ง ที่คราวนี้รู้สึกเหมือนยกตู้ Arcade มาเล่นในมือ
แค่นั่งดู PV และชุด Costume ก็คุ้มค่าเกมแล้ว
จุดเด่น
- กราฟฟิกยังทำออกมาได้ดี แม้ตัวเกมจะต้องโดนดาวน์เกรดเพื่อลงเครื่อง Switch
- มีโหมดใหม่ ๆ เพิ่มเติม ที่ผู้เล่นเก่าจะต้องชอบใจอย่างแน่นอน
จุดสังเกต
- เพลงยังถือว่าน้อย หากเทียบกับ Future Tone DX แม้จะรวม DLC ทั้งหมดแล้ว
- การเล่นด้วย Joy-Con อาจจะไม่สะดวกสำหรับทุกคน
-
กราฟฟิก
9.0
-
เนื้อหา
8.0
-
ประสิทธิภาพ
8.5
-
ความคุ้มค่า
7.5
การกลับมาอีกครั้งกับ Rythm Game ในตำนานอย่าง Hatsune Miku: Project DIVA ที่ผู้เป็นแฟนเกมเครื่อง PSP หรือเป็นแฟน Vocaloid น่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี กลับมาคราวนี้เป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปีให้กับตัวเกมนี้ด้วย กับภาค “Hatsune Miku: Project DIVA MegaMix” (Mega 39’s) และยังคงพัฒนาโดย SEGA เช่นเดิม แต่ย้ายมาลงเครื่อง Nintendo Switch แทน
Hatsune Miku: Project DIVA นั้นเป็นเกมแนว Rythm ที่จะให้ผู้เล่นกดตัวโน๊ตให้ตรงกับจังหวะเพลงสุดโปรดของคุณ ซึ่งเพลงทั้งหมดนั้นเป็นเพลงของ Vocaloid ที่ถูกแต่งขึ้นโดยศิลปินต่าง ๆ มากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงที่มีอยู่แล้ว และบางเพลงจะเป็นเพลงที่แต่งขึ้นมาประจำเกมโดยเฉพาะ ดังนั้นเกมนี้จึงเหมาะมาก ๆ หากคุณเป็นแฟนเพลงของ Vocaloid
โดย Hatsune Miku: Project DIVA นั้นทำออกมาหลายภาค หลายเวอร์ชันมาก ๆ ซึ่งลงให้กับ Playstation หลากหลายเครื่อง
- Hatsune Miku: Project DIVA
- Hatsune Miku: Project DIVA 2nd
- Hatsune Miku: Project DIVA Extend
- Hatsune Miku: Project DIVA Dreamy Theater
- Hatsune Miku: Project DIVA F
- Hatsune Miku: Project DIVA F 2nd
- Hatsune Miku: Project DIVA X
- Hatsune Miku: Project DIVA Future Tone (Colorful Tone and Future Sound)
- Hatsune Miku: Project DIVA Future Tone DX
โดยยังมีเวอร์ชัน Arcade อีกหลายเวอร์ชัน Hatsune Miku: Project DIVA Arcade, Future Tone Arcade A & B และยังมีภาค Spin-Off อย่างภาค Project Mirai ที่ลงให้กับเครื่อง Nintendo 3DS ด้วย (แต่ Gameplay จะค่อนข้างแตกต่างออกไป)
ซึ่งตัวเกม Hatsune Miku: Project DIVA Mega Mix เวอร์ชันญี่ปุนได้วางจำหน่ายไปแล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และเวอร์ชันภาษาอังกฤษกำลังจะออกวางจำหน่ายวันที่ 15 พฤษภาคมนี้
(Screenshots ทุกอันในบทความรีวิวนี้ ถ่ายบนภาค Mega 39’s ซึ่งเป็นตัวเกมเวอร์ชันญี่ปุ่น มีความแตกต่างกันในเรื่องภาษาเท่านั้น)
Gameplay & Control
gameplay เรียกได้ว่ายกเครื่องมาจากภาค Future Tone บนเครื่อง PS4 เลยก็ว่าได้ ระบบต่าง ๆ ยังคงเหมือนกันกับภาค Future Tone เช่น note chained, note แบบ L-R, ระบบแต่งตัวด้วยชุด iconic ที่หลากหลาย และระดับความยาก Extra Extreme ก็ยังมีอยู่เช่นเดียวกัน แต่ในภาค Mega Mix นี้จะมีรูปแบบการเล่นแบบใหม่อีกสองโหมด
- Mix Mode เป็นการเล่นแบบ motion control ในท่าเลียนแบบการโบกแท่งไฟไปมา และกดให้เข้ากับจังหวะเพลง
- Touch Play Mode เป็นการใช้ประโยชน์จากหน้าจอสัมผัสของเครื่อง Nintendo Switch เพื่อเล่นแบบสัมผัส ได้อารมณ์เหมือนเล่นตู้ Arcade มาก!
ส่วน Arcade Mode หรือโหมดปกติจะมีระดับความยากถึง 5 แบบ ซึ่งในแต่ละแบบก็จะมีระดับความยากแตกต่างกันไปในแต่ละเพลงอีกด้วย โดยผมเล่นทั้งภาค Future Tone DX และภาค Mega Mix ด้วย Controller ทั้งแบบ Dual Shock 4 และ Joy-Con รู้สึกว่า DS4 จะตอบโจทย์ได้ดีกว่า Joy-Con มาก ๆ ด้วยความที่ Joy-Con มีปุ่มขนาดเล็กกว่า ทำให้การเล่นติดต่อกันเป็นเวลานานอาจจะทำให้เกิดความเมื่อยล้าได้ (ซึ่งยังไม่เคยลองเล่นด้วย Pro Controller นะครับ อาจจะเล่นได้สะดวกกว่า)
ซึ่งอีกหนึ่งคำถามสำหรับผู้เล่นเก่า ๆ คือ Note Icon มันสามารถเปลี่ยนเป็นแบบ PlayStation ได้ไหม? เพราะสิ่งหนึ่งที่จะเกิดความสับสนให้กับผู้เล่นหน้าเก่าแน่ ๆ คือปุ่ม “X” ที่วางคนละตำแหน่งกัน อาจจะทำให้ผู้เล่นที่ชินตำแหน่งของปุ่ม X ไปแล้วเกิดความสับสนเนื่องจากเล่นแบบไม่มองปุ่มกันแล้ว (ฮา)
คำตอบคือสามารถเปลี่ยนได้ครับ SEGA ไม่ได้ทิ้งในส่วนนี้ไป ถึงแม้จะเปลี่ยนมาลงให้กับเครื่อง Nintendo Switch แล้ว แต่ยังแอบใส่ Note Icon แบบ PlayStation ไว้ให้ผู้เล่นเก่าด้วย จึงไม่ต้องกังวลใจไป สามารถเข้าไปเปลี่ยนได้ในตั้งค่า Customization เลยครับ
Graphics
ในส่วนของ Graphics ภาคนี้เหมือนจะถูกดาวน์เกรดลงไปจากภาค Future Tone บน PS4 ก็ว่าได้ จะถูกลดแสง และเงาออกไปบ้าง ทำให้ภาพที่แสดงผลบนเครื่อง Nintendo Switch จะออกแนว Cell Shaded ดูเป็นการ์ตูน ๆ มากกว่าบน Future Tone เหตผลหลัก ๆ มาจากประสิทธิภาพของ Nintendo Switch ที่ไม่ได้แรงเท่า PS4 จึงต้องปรับเปลี่ยนอะไรไปบ้าง แต่มันไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของเกมนี้ลดลงไปแม้แต่น้อย ยังคงความน่ารักสดใสเช่นเดิม (ซึ่งเอาตามจริงความเห็นส่วนตัวผมว่าบน Future Tone มันดู realistic ไปนิดด้วยซ้ำ แบบบน Mega Mix หรือแบบบน F และ F 2nd นี่กำลังพอดีครับ ดูเป็นการ์ตูนอนิเมะมากกว่า)
และเนื่องจาก SEGA ให้สัญญาว่าเราจะสามารถเล่นเพลงทุกเพลงได้แบบ 60fps ดังนั้นในบางเพลงจะเห็นได้ชัดว่ามีการลด Anti Aliasing ลงเพื่อให้ได้ frame rate ที่ 60 fps
ส่วนบางเพลงที่ไม่ได้กินสเปกเครื่องมากก็จะไม่ได้โดนลด Anti Aliasing ขอบวัตถุของตัวโมเดลก็จะไม่กลายเป็นรอยหยัก
Difficulty
ภาคนี้ยังคงมีระดับความยากที่ 5 ระดับเหมือนกับภาคก่อน (Easy / Normal / Hard / Extreme / Extra Extreme) ซึ่งแต่ละระดับความยากจะมีลูกเล่นที่ต่างกัน เช่น Note Chained, Fever Time และ Hold Bonus ที่บางอันจะมีอยู่เฉพาะในระดับความยากนั้น ๆ
โดยในแต่ละเพลงจะมีระดับความยากของโน๊ตช่วงระหว่าง 1-10 อีกด้วย สามารถสังเกตได้จากด้านหลังของชื่อเพลง ซึ่งตัวเลขยิ่งเยอะโน๊ตก็จะซับซ้อนมากขึ้นตามไปอีก
Miscellaneous & Costume
“เสื้อ ผ้า หน้า ผม พร้อม!” Project DIVA Mega Mix ภาคนี้ยังสามารถแต่งตัวละครได้ตามอิสระเช่นเคย ซึ่งมีทั้งคอสตูมประจำเพลงต่าง ๆ ให้เลือกใส่ รวมถึงคอสตูมฤดูประจำปี อย่างชุดว่ายน้ำ และชุดเจ้าหญิงหิมะ Snow Miku ประจำแต่ละปีก็มีให้เลือกจนถึงของปี 2019
ส่วนทรงผมเราสามารถหยิบมายำรวมกับชุดอะไรก็ได้ครับ แต่ผมว่ามันออกจะดูตลกไปหน่อย (ฮา) แล้วก็เช่นเดิม ยังสามารถใส่ไอเท็มต่าง ๆ บนศรีสระได้ เช่น หูแมว แว่น หมวกคุณพยาบาล(?)
และที่ชอบมาก ๆ อย่างหนึ่งของภาค Mega Mix คือเราสามารถวาด และออกแบบเสื้อเองได้ !!! ใช่ครับ เราสามารถนำเสื้อนี้ไปใช้งานในเกมได้ด้วย เจ๋งมาก! (วาดสวยได้เพียงเท่านี้ครับ วาดลำบากมากบนจอ Switch TwT)
น้อน Hatsune Miku ที่ใส่เสื้อแบไต๋ ฮ่า ๆ เท่ฝุด ๆ เลย
Overview
โดยรวมเกม Hatsune Miku: Project DIVA Mega Mix เป็นเกมที่เรียกว่า must play สำหรับสาวก Vocaloid จริง ๆ ครับ (ไม่ถึงกับเป็นเกม must play บนเครื่อง Switch) และด้วยการที่ตัวเกมมาอยู่บนเครื่อง Handheld อย่างเครื่อง Switch แล้วยิ่งทำให้เอ็นจอยไปกับการเล่นมาก ด้วยเพลย์สไตล์แบบ Picked and Play หยิบออกมาก็เล่นได้ทันที (ทำเอาผมช่วยแรก พกติดตัวไปข้างนอกตลอด มีเวลาว่างตอนไหนก็ต่อหูฟังเล่นได้เลยทันที ฮา) ทั้งโหมดเกมใหม่ ๆ อย่าง Mix Mode และ Touch Play ก็ทำให้การเล่นนั้นแปลกใหม่กว่าเดิม โดยเฉพาะโหมด Touch Play น่าจะถูกใจสาวกสาย Arcade กันไม่มากก็น้อย
โดยตัวเกมเวอร์ชัน International จะวางจำหน่ายบน Nintendo eShop วันที่ 15 พฤษภาคมนี้ครับ ซึ่งตัวเกมได้เปิดพรีออเดอร์ให้กดจองล่วงหน้ากันแล้ว
ตัวเกมมีให้กดทั้งหมด 2 แบบ (ราคาโซนสหรัฐอเมริกา อาจมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ)
- Hatsune Miku: Project DIVA Mega Mix | ตัวเกมธรรมดา – ราคา 1,945 บาท (59.99 USD) (105 เพลง)
- Hatsune Miku: Project DIVA Mega Mix Mega Pack | ตัวเกม แพคคู่กับ DLC Pack 6 แพค – ราคา ราคา 2,916 บาท (89.95 USD) (141 เพลง)
โดยเราสามารถซื้อ DLC Pack 1-6 นี้แยกกันได้ ด้วยราคาประมาณ 339 บาท / แพค และจะได้รับเพลงพิเศษอีกแพคละ 6 เพลง (36 เพลง)
ซึ่งหากใครลังเล สามารถกด Free Demo มาลองเล่นกันได้ก่อนได้ที่หน้าร้านค้า ซึ่งมีเพลงให้ทดลองเล่นอยู่ 2 เพลงครับ