Our score
7.4รีวิว The Dark Picture Anthology: Little Hope “เหล้าเก่า ในขวดที่ไม่ได้ใหม่”
จุดเด่น
- เนื้อเรื่องยังสนุกน่าติดตาม
- ระบบ CO-OP ยังเป็นจุดเด่นของเกมนี้
จุดสังเกต
- เนื้อหาไม่เหมาะแก่การเล่นซ้ำสักเท่าไหร่
- ใส่ระบบที่ไม่จำเป็นเข้ามาแล้วไม่ได้ใช้
- กั๊กเรื่อง Friend Pass ไม่ใส่มาให้แต่แรก
-
Gameplay / System
6.5
-
Story
9.0
-
Presentation
7.0
-
Graphic / Performance
8.5
-
Content
6.0
The Dark Picture Anthology: Little Hope เป็นเกมในแฟรนไชส์ “The Dark Picture Anthology” ที่แบ่งเป็นตอน ๆ ทั้งหมด 4 ตอน ซึ่งปัจจุบันดำเนินเรื่องราวมาถึงตอนที่ 2 แล้ว ซึ่งใสแต่ละตอนจะมีเนื้อเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง และไม่เกี่ยวข้องใด ๆ ก้น
Gameplay / System (6.5/10)
เกมเพลย์ยังคงระบบเหมือนดิมกับตอนที่หนึ่ง แต่มีการเพิ่มระบบใหม่ ๆ เข้าไปบ้าง ซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในเรื่อง (ไม่สปอลย์) โดยผมมองว่าการที่หยิบยกเอาระบเดิม ๆ มาใส่เอาไว้ เพียงแต่เล่าเรื่องที่แตกต่างกัน มันออกจะดูน่าเบื่อไปเสียหน่อย ทั้งที่ 2 เนื้อเรื่องสามารถเล่นกับระบบ Quick Time Event ได้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ผู้พัฒนาเกมยังคงไม่เพิ่มอะไรใหม่ ๆ เข้ามาขนาดนั้น ทำให้รู้สึกว่า Gameplay ซ้ำซาก แต่ก็ถือว่าคุ้มสำหรับเงิน 500 กว่าบาทบน PC แต่บน PS4 อาจจะรู้สึกแพงไปหน่อย (900 กว่าบาท)
อีกอย่างคือระบบ Friendpass ของภาคนี้ไม่ยอมใส่มาแต่แรกเหมือนกับตอนแรก “Man of Medan” ที่มาใส่ในตอนหลังเกมออกสักพัก ซึ่งคาดว่าน่าจะหยิบมาใส่ภายหลัง เพื่อดึงคนมาเล่นหลังกระแสเกมเริ่มจางแล้ว อันนี้ไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่
แถมระบบความสัมพันธ์ที่ใส่มา แทบไม่มีผลใด ๆ กับเนื้อเรื่องตอนจบเลย หากเล่นจนจบอาจจะงงว่าใส่มาทำไม
Story (9/10)
เนื้อเรื่องของตอน Little Hope ยอมรับว่าเขียนบทมาดีมาก แฝงอะไรหลาย ๆ อย่างเอาไว้ในเนื้อหาของเรื่อง และยังเป็นเกมแนวที่เรายิ่งสำรวจยิ่งเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น (แต่ก็ยังเดาบทสรุปยากเหมือนตอนแรก) มีปมเนื้อหาให้ติดตามได้ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้เรากระสันอยากรีบเล่นให้จบ
เอาจริง ๆ ยอมรับว่าเกมนี้สนุกตรงที่เราต้องมานั่งติดตามเนื้อเรื่องนี่แหละ ว่าท้ายที่สุดแล้วจริง ๆ เป็นอย่างไร ส่วนเกมเพลย์ยังเฉย ๆ
แต่แอบรู้สึกเนื่อเรื่องภาคนี้ทำออกมาแล้ว ไม่ทำให้รู้สึกว่าอยากเล่นอีกรอบเหมือนภาคแรก เพราะตอนจบที่แทบจะไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่ (อย่างไรเดี๋ยวไปเล่าในส่วนของ Presentation)
Presentation (7/10)
การนำเสนอเนื้อหาของเรื่องทำได้ดีเหมือนกับภาคแรก ซึ่งภาคนี้เล่าปมตัวละครได้ดูแปลกใหม่ดี และเป็นส่วนที่ทำให้เราอยากติดตามเนื้อเรื่องช่วงต่อ ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่ที่น่าผิดหวังสำหรับเกมนี้ก็คือระบบ Butteryfly Effect ที่เหมือนไม่ชูโรงในตัวเกมแล้ว
ซึ่งผมเป็นแฟนเกมนี้จากการเล่น Until Dawn ที่เนื้อหาของเนื้อเรื่องจะละเอียดกว่านี้ในการเลือกทางแต่ละทาง โดยมีระบบ Butterfly effect หรือทฤษฏีผีเสื้อกระพือปีกเป็นจุดเด่นของตัวเกม และกลายเป็นว่าเกมนี้เหมือนกลายเป็นเกมที่เราต้องมานั่งคอยช่วยชีวิตตัวละครเท่านั้น การตัดสินใจไม่ได้มีผลต่อเนื้อเรื่องสักเท่าไหร่เลย
ส่วนระบบ CO-OP ผมว่ามันเป็นจุดเด่นของเกมนี้ไปละ เพราะไม่ค่อยมีเกมแนว Story Driven ที่ให้ 2 คนดำเนินเรื่องไปด้วยกันแบบลงตัวแบบนี้สักเท่าไหร่ (ล่าสุดที่เห็นถ้าไม่นับ Man of Medan ก็คือ A Way Out) ซึ่งภาคนี้จะแตกต่างกันภาคก่อน เพราะมีการสับเปลี่ยนให้ผู้เล่นทั้งสองได้ไปเล่นทุกตัวละครในเนื้อเรื่องด้วย
และสุดท้าย เกมนี้ใส่ Jump Scare เรื่อยเปื่อยมาก ใส่จนไม่ตกใจแล้ว ซึ่งการ Jump Scare มันทำให้ตกใจได้ก็จริง แต่มันเป็นอะไรที่เรียกได้ว่าน่าเบื่อมาก ๆ กับการสร้างบรรยากาศให้น่ากลัว เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย และทีมงานก็เลือกที่จะทำแบบนั้น
Graphic / Performance (8.5/10)
กราฟิกของเกมนี้ไม่ได้แตกต่างจากภาคแรกเลย แม้ตัวเกมจะห่างกันถึง 1 ปี แต่ก็ไม่ใช่ข้อเสียอะไรขนาดนั้น กราฟิกถือว่าใช้ได้กับเกมที่ออกมาในปี 2020 นี้ ระบบ Facial Motion ยังเป็นสิ่งที่ทำได้ดีเช่นเดิม ใ้ห้ความรู้สึกเหมือนนั่งดูหนัง
แต่ที่ต้องติคือเรื่องประสิทธิภาพของตัวเกม (ผมเล่นเกมนี้บน PS4 รุ่นปกติ) ซึ่งทั่ว ๆ ไปตัวเกมสามารถรันได้เฟรมเรตที่ดีในแทบทุกสถานการณ์ แต่พบเจอปัญหาเกมเด้งถึง 2 ครั้ง ระหว่างการเล่นรวดเดียวจบใน 5 ชั่วโมง
ส่วนใครที่จะบอกว่า PS4 มันเก่าไปแล้ว เลยอาจจะเป็นปัญหาก็ขอบอกว่าน่าจะไม่ใช่ เพราะผมเล่นเกมนี้กับเพื่อนอีกท่านที่ใช้ PS4 Pro และก็เจอปัญหาเกมเด้งถึงสองรอบด้วยกัน นอกนั้นตอนเกมโดยรวมถือว่าดี ยังไม่พบเจอช่วงที่เฟรมเรตตกจนสังเกตได้
Content (6/10)
เนื้อหาของเกมนี้เรียกได้ว่าน้อย น้อยจนไม่ค่อยดึงดูดให้กลับไปเล่นรอบที่ 2 หรือ 3 ส้กเท่าไหร่ อย่างที่บอกว่าตัวเกมไม่ค่อยชูโรงเรื่องทฤษฏีผีเสื้อกระพือปีกอีกแล้ว ทำให้เนื้อเรื่องของตัวเกมกลายเป็นเส้นตรงเกินไป ถึงแม้ตอนจบจะมีเนื้อหาที่ต่างกัน แต่ช่วงระหว่างการเล่นให้ประสบการณ์ที่เหมือนกัน แบบนี้เล่นจบตอนนึงแล้วไปเปิด YouTube ดูตอนจบที่เหลือดีกว่า (ถ้าต้องอธิบายมันจะต้องเปิดเผยเนื้อหาด้วย จึงไม่ดีกว่า)
โดยรวม
ต้องบอกว่า เกมนี้ค่อนข้างน่าผิดหวังในเรื่องของเกมเพลย์พอสมควร แต่สำหรับเนื้อเรื่องถือว่าสนุกสมกับเป็นแฟรนไชนส์นี้ หากเทียบกับราคาแล้วก็ถือว่าไม่เลว ถ้าในอนาคตมี FriendPass ออกมาให้ด้วย ก็จะคุ้มค่าขึ้นไปอีกในการเล่นกับเพื่อน (อาจจะหารกันก็ได้นะ)
The Dark Picture Anthology: Little Hope วางจำหน่ายแล้วบน PC, PS4 และ Xbox One
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส