Our score
9.0[Review] Demon’s Souls Remake คืนสู่เหย้า เรื่องเล่าของนักล่าปีศาจ
จุดเด่น
- Gameplay ที่ยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ และปรับให้เข้ากับสมัยใหม่
- กราฟิกที่สวยงาม งัดเอาความสามารถของ PS5 มาใช้ได้เป็นอย่างดี
- ระบบออนไลน์ที่เป็นเอกลักษณ์ และมีการจัดการ Server ที่ดี
- มีคุณค่าในการเอากลับมาเล่นซ้ำสูงมาก (Replay Value)
- แปลภาษาไทยออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
จุดสังเกต
- ไม่ใช่เกมสำหรับทุกคน และอาจจะยากเกินไปสำหรับมือใหม่
- ไม่มีอะไรใหม่เลยจากตัวเกมต้นฉบับ
-
GAMEPLAY
9.0
-
GRAPHICS
9.0
-
STORY
9.0
-
PERFORMANCE
9.0
-
VALUE
9.0
Original History
จุดเริ่มต้นของ Souls-Likes Game นั้นได้เริ่มขึ้นเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ในเครื่อง Playstation 3 กับเกมแนว Action RPG Dark Fantasy ที่ได้สานต่อมาจากเกมซีรีส์ King’s Field เกมที่หลาย ๆ คนอาจจะไม่เคยรู้จัก หรือไม่เคยได้ยินชื่อ “Demon’s Souls” วางจำหน่ายในปี 2009 อย่างเงียบ ๆ ในญี่ปุ่น และ สหรัฐอเมริกา ในปีเดียวกัน
Demon’s Souls ได้สร้างสิ่งที่ล้ำหน้าไปมากกว่าเกมหลาย ๆ เกมในยุคนั้น ด้วยระบบการเล่นที่แปลกใหม่ไม่เคยมีมาก่อน พร้อมกับระบบ Online ที่ส่งผลต่อผู้เล่นโดยตรงถึงแม้ว่าจะเล่นคนเดียวก็ตาม
ไม่ว่าจะเป็นการ Invading ที่เป็นมิติใหม่ของการ PVP และ PVE สำหรับเกมในเวลานั้น หรือจะเป็นระบบ Messages และ Bloodstain ที่ได้นำเอาแนวคิดของผู้เล่นต่างโลก หรือโลกคู่ขนานเข้ามาใส่ไว้ในเกมได้อย่างสมบูรณ์แบบ
มาพร้อมกับระบบ Gameplay ที่โละทิ้งภาพจำเดิม ๆ ของเกมแนว Action RPG ในยุคนั้นไปหมดสิ้น Demon’s Souls ได้นำเสนอการ Action ที่อ้างอิงค่า Stamina หรือความความอดทนของตัวละคร โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเกมของตัวเองอย่าง King’s Field โดยการเคลื่อนไหวของตัวละครจะถูกจำกัด ทำให้ผู้เล่นต้องใช้สติ และ สมาธิ รวมไปถึงฝีมือของผู้เล่นในการจัดการกับศัตรูภายในเกม
“เป็นเกมที่แย่อย่างไม่น่าเชื่อ” Shuhei Yoshida ประธานแห่ง Sony Interactive Entertainment ปี 2008
แต่ชื่อเสียงของมันกลับไม่ได้ดีตามคุณภาพของเกมเลยสักนิด ตั้งแต่ก่อนตัวเกมจะวางขายภายในงาน Tokyo Game Show 2008 ได้มี Demo ให้ลองเล่น โดยกระแสตอบรับนั้นออกไปในแง่ลบ โดยเหล่าผู้คนที่ได้ลองเล่นนั้น ได้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “มันเล่นยากเกินไป” โดยมีหลายคนคิดว่า ตัวเกมยังคงอยู่ในระหว่างการพัฒนาด้วยซ้ำ
แม้กระทั่ง Shuhei Yoshida ท่านประธานแห่ง Sony Interactive Entertainment ในขณะนั้น เขาได้ลองเล่นเกมนี้แล้วก็ไม่ชอบตัวเกมเอาเสียเลย โดยเขาได้ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงในการลองเล่น และวนเวียนอยู่ที่ฉากเริ่มต้นของเกมซ้ำ ๆ โดยเขาไม่ใช่แค่คิดว่ามันเป็นเกมคุณภาพต่ำ แต่มันเป็นเกมที่แย่มาก ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ
และแล้วก็ถึงวันวางจำหน่าย Demon’s Souls วางขายในปี 2009 ในญี่ปุ่น ตัวเกมได้รับกระแสตอบที่ไม่ดี สักเท่าไร โดยสื่อหลาย ๆ เจ้าบอกว่ามันไม่ใช่เกมสำหรับทุกคน โดยสื่อใหญ่อย่าง Famitsu นั้นได้ให้คะแนนไปเพียงแค่ 29/40 เองเท่านั้น แต่สื่อบางเจ้ากลับชอบมากเป็นพิเศษ เพราะมันทำให้รู้สึกถึง Old-School Games ทำให้เกือบไม่ได้รับการแปลภาษาเป็น ENG แล้ว ก่อนที่ทาง Sony จะเปลี่ยนใจภายหลัง
เมื่อถึงเวลาวางจำหน่ายใน North America ทาง Sony เองก็ถึงขั้นไม่ยอมจัดจำหน่ายเกมนี้ด้วยตัวเอง และโยนหน้าที่ให้ Atlus USA เป็นคนดูแล โดยทาง Atlus เองก็ในตอนแรกไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะเรื่องความยากของเกม ที่มีปัญหากับคนฝั่งตะวันตก แต่ด้วยคุณภาพโดยรวมของเกมที่ Atlus มองเห็น เขาจึงตัดสินใจจัดจำหน่ายตัวเกมให้กับตลาดฝั่งตะวันตกอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 ตุลาคม 2009
และทันใดนั้นเอง ชื่อของ Demon’s Souls ก็ถูกพูดถึงในกลุ่มผู้เล่นเกม RPG ในตอนนั้นทันที ตัวเกมได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากสื่อใหญ่ ๆ อย่าง Gamespot 9/10, IGN 9.4/10, Game Informer 9/10, Eurogamer 9/10 และได้คะแนนรวมจาก Metacritic ไปที่ 89/100
โดยสื่อหลาย ๆ เจ้าชื่อชม Demon’s Souls ไปในจุดเดียวกัน นั้นก็คือตัวเกมที่รักษาความ “แฟร์” ระหว่างผู้เล่นกับศัตรูได้เป็นอย่างดี ทำให้นึกถึงเกมสมัยก่อน ที่เราต้องใช้ฝีมือในการเล่นมากกว่า พร้อมกับเรียนรู้ตัวเกมไปพร้อม ๆ กัน โดยสื่อตะวันตกได้ยกให้ตัวเกมเป็นสุดยอด JRPG ในยุคนั้นเลยทีเดียว
ตัวเกมทำยอดขายที่ญี่ปุ่นได้ที่ 130,000 ชุด และ อีก 500,000 ชุดทั่วโลก ได้รางวัล Overall Game of the Year 2009, Best PS3 Game 2009 และรางวัลอื่น ๆ อีกมากมาย และลบคำสบประมาท พร้อมกับพิสูจน์ตัวเองได้ ก่อนที่จะสร้างตำนานบทใหม่ออกมาในปี 2011 ครับ
Remake
ก่อนหน้านี้ในปี 2019 ก่อนที่ตัวเกมภาค Remake จะเปิดตัว Hidetaka Miyazaki ประธานแห่ง From Software คุณพ่อหรือบิดาผู้ให้กำเนิดเกมตระกูลโซล ได้ออกมาพูดถึงการ Remake หรือ Remaster เกม Demon’s Souls เอาไว้
“ถ้าเป็นสตูดิโอที่รักงานต้นฉบับจริง ๆ และทุ่มเทแรงกายแรงใจในการพัฒนา นั้นล่ะที่ผมจะชอบมัน” Hidetaka Miyazaki ประธาน From Software 2019
โดยเขาบอกว่าเรื่องนี้เองมันขึ้นอยู่กับ Sony ล้วน ๆ เพราะ Demon’s Souls มันเป็นของ Sony แบบ 100% ก่อนที่เขาจะบอกว่าถ้าจะมีการ Remake เกมนี้จริง ๆ เขาโอเคกับทุกทีมที่มาทำ แต่ถ้าหากเป็นทีมที่เข้าใจตัวเกมเป็นอย่างดี มีใจรักกับมัน พร้อมกับเข้าถึงจิตวิญญาณที่มีต่อทั้งตัวเขาเองและตัวเกม เขาก็รอที่จะเล่นมันอีกครั้ง
และด้วยเหตุบังเอิญหรือโชคชะตาที่ไม่มีใครคาดได้ Sony ได้เปิดตัว Demon’s Souls Remake ออกมาภายในงาน PS5 Showcase ที่เป็นงานเปิดตัว PS5 พอดี และวางจำหน่ายเป็น Launch Title แบบ Exclusive สำหรับ Playstation 5 ตามที่ควรจะเป็น ส่วนคนที่รับหน้าที่ในการ Remake ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น Bluepoint Games ผู้ที่เคยผ่านการ Remake เกมอย่าง Shadow of the Colossus มาแล้วครับ
Story
Demon’s Souls จะเล่าเรื่องผ่านตัวละครต่าง ๆ ภายในเกม เช่นเดียวกับเกมตระกูลโซลภาคต่าง ๆ แต่สำหรับเกมนี้มันจะไม่มีความซับซ้อนอะไรมาก ทำให้เราเข้าใจโลกของเกมมันได้ง่าย ๆ เรื่องราวทั้งหมด เริ่มต้นที่ กษัตริย์แห่ง โบลทาเรีย ผู้ที่บ้าอำนาจ ทะเยอทะยาน และได้ครอบครองประเทศ โดยใช้พลังที่เหนือกว่ามนุษย์จะจินตนาการได้
แต่ถึงแบบนั้นประเทศก็ดำรงอยู่ต่อไปไม่ได้ เนื่องจากว่ากษัตริย์องค์ก่อน (Old King) ได้ใช้พลังของเหล่าปีศาจ (Demon) เข้าสยบอำนาจและความบ้าคลั่งของกษัตริย์แห่ง โบลทาเรียองค์ปัจจุบัน ทำให้ทั่วทั้งประเทศต้องถูกปลกคลุมด้วยหมอก แถมยังเป็นการปล่อยให้เหล่าปีศาจได้ออกมาทำลายบ้านเมือง และสูบวิญญาณของสิ่งมีชีวิตในประเทศไปเกือบทั้งหมด
เราจะได้รับบทเป็นนักรบไร้นาม ที่เดินทางข้ามหมอกเข้าสู่เมืองโบลทาเรีย ในการปราบเหล่าปีศาจร้ายให้หมด และนำความสงบสุขกลับมา หากแต่ในตำนานได้กล่าวเอาไว้ว่า “ผู้ใดที่ก้าวเท้าเข้าสู่ดินแดนแห่งนี้เมื่อไร ก็จะไม่ได้กลับออกมาอีก”
และนี่คือ Lore หลัก ๆ ของตัวเกมครับ ตลอดทั้งเกมเราจะได้พบเจอกับเหล่า NPC ต่าง ๆ โดยเราจะได้เรียนรู้ พูดคุย และทำเควสต์เนื้อเรื่องรองกับ NPC ตัวนั้น ๆ ได้ ตรงนี้ใครที่เคยเล่นเกมตระกูลโซลมาก่อนก็จะเข้าใจได้ทันที แต่ถ้าหากใครที่ไม่เคยเล่นก็ต้องบอกก่อนว่า เควสรองของเกมนี้มันไม่ได้มี Market หรือ Mission List บอกให้เราไปทำอะไร แต่เราต้องฟังบทสนทนา และตีความหมายเอาเองครับ
สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมาก ๆ สำหรับเกมตระกูลนี้ก็คือเนื้อเรื่องรอง ที่จะส่งผลต่อฉากจบของเกม โดยมันจะมีทางเลือกให้เราหลายทางมาก ยังไม่นับฉากจบลับ หรือแม้แต่เงื่อนไขในการจบเควสต์ที่ส่งผลต่อ Item ต่าง ๆ ที่เราจะได้ภายในเกม แต่น่าเสียดายที่ Demon’ Souls นั้นกลับไม่ได้ลงรายละเอียดลึกในจุดนี้สักเท่าไร แต่นั้นเป็นเพราะว่าเกมนี้คือต้นฉบับของเกมต่อ ๆ ไป และแม้ในเวอร์ชัน Remake เองก็ยังคงตามต้นฉบับไว้ไม่เปลี่ยนแปลง
Gameplay
สำหรับผู้เล่นหน้าใหม่ ผมคงต้องบอกก่อนว่าเกมนี้ อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนักถ้าหากคุณไม่เคยสัมผัสกับเกมตระกูลโซลมาก่อน แต่สำหรับเหล่าสาวกที่ยังไม่เคยลองเล่น Demon’s Souls นั้น ผมต้องขอบอกเลยว่า มันยอดเยี่ยมมากครับ
Demon’s Souls ได้ยกเอา Concept และแนวคิดดั้งเดิมของเกมต้นฉบับ มาผสมกับระบบต่อสู้และ Animation ของตัวเกมสมัยใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ยกตัวอย่างเช่นผมเคยผ่านมือมาทั้ง Dark Souls 1-3 แน่นอนว่าภาคที่เล่นสนุกที่สุด และมีระบบต่อสู้ดีที่สุดต้องเป็น Dark Souls 3 อย่างไม่ต้องสงสัย
และเมื่อมาถึง Demon’s Souls นั้น สิ่งที่ผมสัมผัสได้ คือ Gameplay มันลื่นไหล ไม่ตกยุค ไม่ให้ความรู้สึกช้าแบบ Dark Souls 1-2 ไม่ว่าจะเป็นการโจมตี การร่ายเวท การใช้ Item หรือแม้แต่การกลิ้งที่ในเวอร์ชัน Remake ได้มีการปรับปรุงใหม่หมด แต่ก็ยังคงความรู้สึกของต้นฉบับได้เป็นอย่างดี
แต่สิ่งหนึ่งที่หลาย ๆ คนอาจจะร้องโหยหวน นั้นก็คือจุด Checkpoint ของตัวเกม หรือถ้าแฟน ๆ โซลก็จะเรียกกันว่า Bonfire นั้น คงต้องบอกลากันไป เพราะใน Demon’s Souls นั้นมันไม่มี Bonfire ครับ ถ้าหากคุณตายไม่ว่าจะเป็นตรงไหนของแผนที่ คุณก็ต้องกลับไปที่จุดเริ่มต้น
แต่มันก็ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้นเสียทีเดียว เพราะเกมนี้ในจุดเริ่มต้นของฉากมันจะมี Archstones ที่เอาไว้วาปไปมาระหว่าง The Nexus ที่เป็นจุดศูนย์รวมเหล่านักรบที่ตายไปแล้ว แต่ยังถูกขังวิญญาณเอาไว้อยู่ โดยเราสามารถเพิ่ม Level ของตัวละครได้ที่นี่ หรือชื้อของ Upgrade อุปกรณ์ เรียนรู้และติดตั้งเวทมนตร์ได้ สำหรับแฟน ๆ ตระกูลโซล มันก็คือ Firelink Shrine นั้นเอง
นอกจากจุดเริ่มต้นของฉากที่จะมี Archstones ให้แล้ว ก็จะมีตามห้องบอสครับ แน่นอนว่าเราต้องจัดการบอสก่อน ถึงจะมี Archstones ที่เราจะ Save จุดเกิดและลุยต่อได้ โดย Demon’s Souls นั้นต้องเข้าใจว่ามันเป็นเกมเก่ามาก และถึงแม้เวอร์ชัน Remake เองก็ไม่ได้ไปเปลี่ยนแปลงอะไรในจุดนี้เลย
การออกแบบฉากนั้นจะให้ความรู้สึกกับเกมสมัยก่อน โดยเราจะต้องลุยตั้งแต่จุดเริ่มต้น ไปถึงห้องบอส และปลดล็อกทางลัด ที่จะทำให้เราเดินจาก Archstones ในจุดเริ่มต้นมาอย่างห้องบอสได้เร็วขึ้น แต่ถึงแม้ผมจะบอกว่าเร็วขึ้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าแค่วิ่งออกมาก็เจอแล้วนะ คุณยังต้องฝ่าฝูงปีศาจมาเยอะเหมือนกัน กว่าจะถึงห้องบอสได้
ตรงจุดนี้เอง คือความยากของ Demon’s Souls ครับ เพราะการที่ตัวเกมไม่ได้มี Bonfire ให้เราแบบอย่าง Dark Souls 3 ที่เรียกได้ว่ามีโคตรเยอะมาก มียันหน้าห้องบอสเลยก็มี หรือแม้กระทั่ง Dark Souls 1 ที่เอาเข้าจริงมันยังง่าย และสะดวกกว่า Demon’s Souls มากครับ
นอกจากนี้เองสิ่งที่ผมชอบมากใน Demon’s Souls ก็คือระบบ World Tendency นี่ล่ะครับ
โดยไอ้ระบบนี้มันอธิบายไม่ยาก แต่จะทำความเข้าใจกับมันยาก โดยมันจะแบ่งเป็น White World และ Black World โดยอธิบายง่าย ๆ คือทั้งสองโลกนี้จะมีเงื่อนไขทางลับ หรือแม้แต่ศัตรูที่ปรากฎขึ้นต่างกันไปครับ
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าฉากแผนที่ใน Demon’s Souls นั้นมันจะถูกแบ่งเป็น 5 โลก
- World 1: Boletarian Palace
- World 2: Stonefang Tunnel
- World 3: Tower of Latria
- World 4: Shrine of Storms
- World 5: Valley of Defilement
โดยทั้ง 5 โลกนี้จะไม่เกี่ยวข้องกัน หรือก็คือไม่เชื่อมต่อกันแบบโซลเกมอื่น ๆ แต่ละฉากมันจะมีบอสของมัน มี NPC ประจำโลก และมีเรื่องราว รวมไปถึงสถานที่ที่แตกต่างกันไป
ยกตัวอย่างเช่นในฉากแรกนั้นอย่าง Boletarian Palace มันจะมีประตูที่ล็อกเอาไว้อยู่ โดยเงื่อนไขที่จะทำให้เปิดได้นั้น เราจะต้องทำให้โลกกลายเป็น Pure White เสียก่อนครับ ประตูถึงจะเปิดให้เราไปต่อได้ ทำให้เราจะได้พบกับไอเทมแรร์ต่าง ๆ
แต่ถ้าหากเราทำให้โลกมันกลายเป็น Pure Black เราก็จะเจอกับเหล่าปีศาจที่โหดขึ้นกว่าเดิม หรือปีศาจลับที่จะโผล่ออกมาแค่ตอนที่โลกกลายเป็นแบบนี้ หรือแม้แต่ทางลับของโลกบางโลกเอง ที่ต้องทำให้เป็น Pure Black ถึงจะเข้าไปได้
โดยวิธีที่จะทำให้โลกนั้นกลายเป็น Pure White หรือ Pure Black ได้ มันขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้เล่นล้วน ๆ เช่นการฆ่า NPC การช่วยเหลือผู้เล่นคนอื่น การฆ่าเหล่า Black Phantom ที่ Invade เข้ามา (PVP) หรือแม้แต่การ Invade ไปฆ่าผู้เล่นคนอื่น รวมไปถึงการฆ่าบอส และอื่น ๆ อีกมากครับ
ซึ่งตรงนี้ไม่เคยมีในเกมตระกูลโซลภาคไหนมาก่อน และผมต้องขอย้ำว่าไอ้ระบบนี้มันมีมาตั้งแต่ตัวเกมต้นฉบับในปี 2009 แล้ว ถือว่าเป็นอะไรที่ล้ำมาก ๆ ในยุคนั้น และเมื่อมันมาอยู่ในปัจจุบันก็ไม่ได้ทำให้ตกยุคแต่อย่างใด กลับกันมันจะทำให้ผู้เล่นได้เปิดโลกกับ ระบบ Online ของเกมตระกูลนี้ที่สร้างเอกลักษณ์ไว้เป็นอย่างดีตลอดหลายปีที่ผ่านมาครับ
นอกจากนี้เองระบบ Messages และ Bloodstain ก็ยังคงอยู่ไม่หายไปไหน ต้องบอกว่าหลายครั้งมากที่ระบบนี้มันช่วยให้ผมรอดชีวิตตลอดการเล่นบ่อยมาก และมันก็มีประโยชน์จริง ๆ ถึงแม้ว่าจะมีข้อความบางอย่างที่ …. เราหน่อยก็ตาม
Demon’s Souls Remake นั้น แน่นอนว่าได้เพิ่ม Content ใหม่ ๆ สำหรับผู้ที่เคยผ่านตัวเกมต้นฉบับมาแล้ว เริ่มที่ระบบโลกกระจก หรือ Fractured Mode ที่เข้าใจง่าย ๆ เลยก็คือตัวเกมจะทำการกลับด้านสะท้อน เหมือนเรามองกระจก แล้วเรากลายเป็นคนที่อยู่ในกระจกแทน ด้านซ้ายขวาจะสลับกัน แถมยังมีไอเทมลับให้เก็บในโหมดนี้อีกด้วย
อีกหนึ่งจุดก็เป็นเหมือนการปรับปรุง QOL หรือ Quality of life เสียมากกว่า เช่นผู้เล่นสามารถที่จะโยนไอเทมลงกล่องเก็บของได้ทันทีที่ไหนก็ได้ หมดปัญหาเรื่องของเต็มระหว่างทางอีกต่อไป รวมไปถึงระบบ Forgiveness ที่ถ้าหากเราดันไปโจมตี NPC ตัวไหนโดยไม่ตั้งใจ เราสามารถใช้ระบบนี้เพื่อ Reset ใหม่ได้ครับ
Graphics
Demon’s Souls ได้ดึงเอาสมรรถภาพของ Playstation 5 ออกมาได้เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ถึงกับยอดเยี่ยมมากนักในแง่ของกราฟิก แต่ต้องยอมรับว่า Bluepoint Games นั้นได้ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี และสามารถสร้างโลกของ Demon’s Souls ออกมาได้สวยงาม พร้อมกับไม่ทิ้งเอกลักษณ์ดั้งเดิมของตัวเกมต้นฉบับไว้ได้
ทุกรายละเอียด ทุกฉาก ทุกตารางนิ้ว หรือแม้แต่จุดเล็ก ๆ เพียงแค่ของประกอบฉาก ทาง Bluepoint Games นั้นได้จัดเต็มกับรายละเอียด โดยยังคงเหมือนกับตัวเกมต้นฉบับทั้งหมด สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไป ก็คือกราฟิกที่สวยขึ้น สมกับเป็นเกมปี 2020 ทำให้ผู้เล่นเก่ารู้สึกคุ้นเคย แต่แปลกตา ส่วนผู้เล่นใหม่ก็จะได้สัมผัสกับ Demon’s Souls ในยุค 4K อย่างแท้จริง
เมื่อพูดถึงความละเอียดภาพ แน่นอนว่าเกมนี้สามารถ Run ได้ที่ 1440p Upscaled เป็น 4K/60FPS ใน Performance Mode และ Real 4K/30FPS ใน Cinematic Mode ครับ แน่นอนว่าตัวเกมไม่ได้มีอาการ Framedrop อะไรออกมาให้เห็นเลย สามารถเล่นได้ลื่น ๆ ไม่ติดขัดเลยสักนิด
นอกจากนี้เองสิ่งที่ต้องชื่นชมเลยก็คือระบบแสงเงา และเอฟเฟกภายในเกมที่ถูกออกแบบขึ้นมาใหม่ ทำให้ผู้เล่นสายเวทมนตร์แบบผมต้องชอบ แต่น่าเสียดายที่ Demon’s Souls นั้นมันไม่ได้ Fantasy มากแบบ Dark Souls ทำให้เราอดเห็นอาวุธมีแสงสวย ๆ หรือชุดเกราะมีแสงแบบ Dark Souls 3 ครับ
สรุป
Demon’s Souls Remake ได้สานต่อสิ่งที่ตัวเองทำเอาไว้ตั้งแต่ปี 2009 ได้เป็นอย่างดี ซึ่งนั้นก็คือการตอกย้ำความสำเร็จของตัวเกม และทำให้เหล่าแฟน ๆ เกมตระกูลโซลได้รู้จักกับมันได้ในแบบ Next Gen ที่ยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมของต้นฉบับเอาไว้ แม้กระทั่งวิธีผ่านด่านโดยใช้ท่ายากต่าง ๆ เช่นการกระโดด การกลิ้งบางจุด หรือแม้แต่วิธีขี้โกงบอส ในเวอร์ชัน Remake ก็ได้คงความดั้งเดิมเอาไว้หมด
Bluepoint Games นั้นได้สร้างผลงานการ Remake ที่ยอดเยี่ยม และต้องขอยกเครดิตให้เลยจริง ๆ พวกเขาไม่ใช่แค่เอาเกมกลับมา Remake ใหม่ แต่มันคือการใส่จิตวิญญาณของแฟนเกมนี้ ที่รู้สึกได้เลยว่า Demon’s Souls Remake คือสาส์นที่ Bluepoint ได้ส่งถึง Hidetaka Miyazaki ผู้ที่ให้กำเนิดเกมนี้ ด้วยความเคารพและนับถือของตัวเขาเองครับ
Demon’s Souls วางขายแล้ววันนี้สำหรับ Playstation 5 แบบ Exclusive ที่ PSN Store หรือตัวแทนจำหน่ายตามร้าน PAD (Playstation Authorized Dealer) ทั่วประเทศ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส