Our score
8.5รีวิวเกม Bravely Default II เกม RPG ยุค 90s ฉบับอัปเกรดจากค่าย Square Enix
จุดเด่น
- รูปแบบการเล่น RPG แบบคลาสสิกที่เข้าใจง่าย
- ระบบเกมโดดเด่นทั้งค่า BP และอาชีพที่ผสมกันได้
- เกมเพลย์ลื่นไหลรวดเร็วมาก
จุดสังเกต
- กราฟิกธรรมดามาก และการนำเสนอก็สุดเชย
- เพลงประกอบไม่โดดเด่น
- มีอาการภาพกระตุกบ่อยครั้งจนน่ารำคาญ
ในยุคนี้เกมแนว RPG แท้ ๆ จะหาได้ยากกว่าเดิมพอสมควร เพราะเกมระดับตำนานหลายเกมต่างเปลี่ยนแนว หรือเอารูปแบบของแอ็กชันเข้าไป เช่น Final Fantasy ภาคหลัง ๆ ที่แทบไม่เหลือความเป็น RPG ทำให้เกมที่ใส่คำสั่งเพื่อโจมตีแบบเทิร์นเบสหากได้ยากกว่าเดิม แต่บนคอนโซลของนินเทนโด ยังพอหาได้อยู่ โดยก่อนหน้านี้ค่าย Square Enix ได้ส่งเกม Octopath Traveler ออกมาวางขายแล้ว
และล่าสุด Square Enix ได้ส่งเกมภาคต่ออย่าง Bravely Default II ลงคอนโซลลูกผสมอย่าง Nintendo Switch โดยมันเป็นภาคต่อของ Bravely Default และ Bravely Second: End Layer ที่เคยออกบน 3DS มาแล้วและถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควรแม้อาจจะไม่ได้โด่งดังเท่าเกมอื่นของค่าย Square Enix ก็ตาม และหลังจากปล่อยเดโมมาให้เล่นในปี 2020 แล้ว ล่าสุดได้ออกตัวเต็มมาให้แฟน ๆ ได้เล่นกันแล้วในช่วงต้นปี 2021
กราฟิกไม่ได้โดดเด่นแม้จะใช้ Unreal
แม้ว่า Bravely Default II จะใช้บริการของ Unreal Engine ในการสร้างภาพในเกมก็ตาม แต่พอได้สัมผัสตัวเกมเต็ม ๆ แล้วถือว่ากราฟิกของเกมไม่ได้โดดเด่นเท่าที่ควร เพราะฉากยังขาดรายละเอียดแม้สเปกของ Nintendo Switch จะไม่ได้แรงอะไรก็ตามแต่หลายเกมที่ลง Switch ทำภาพได้ดีกว่านี้มีเยอะมาก ทำให้โดยรวมแล้วหากคุณคาดหวังจะเสพอะไรงาม ๆ ใน Bravely Default II ก็คงผิดหวังกันไม่มากก็น้อย แถมยังมีอาการภาพกระตุกเมื่อตัดเข้าอีกฉาก และเป็นตลอดต่อเนื่องจนน่ารำคาญไปหน่อย
ส่วนเพลงประกอบอยู่ในระดับกลาง ๆ ไม่ได้โดดเด่นหรือมีเพลงฮิตติดหูเหมือนกับ RPG ในตำนานอย่าง Final Fantasy หรือ Dragon Quest แต่ผู้สร้างมีความพยายามใส่อะไรบ้างอย่างเช่นเสียงประกอบที่ชวนให้นึกถึงเกมคลาสสิกอยู่บ้าง แต่โดยรวมไม่ได้เป็นจุดขายหรือเป็นจุดเด่นของ Bravely Default 2 ทุกอย่างดูราบเรียบไปหมด ยังดีที่มีการใส่เสียงพากย์เข้ามาหลายส่วนในเกม แต่เป็นที่น่าเสียดายที่การนำเสนอในส่วนของคัตซีนนั้นสุดแสนจะเชย เพราะส่วนใหญ่เป็นเพียงตัวละครคุยกันมีฉากดราม่าบ้างแต่ก็ไม่มาก และสีหน้าของตัวละครที่เหมือนหุ่นมากกว่าทำให้ผู้เล่นไม่ค่อยอินกับเรื่องราวเท่าที่ควร แต่โดยรวม ๆ ถือว่าสอบผ่านหากคุณไม่ได้คาดหวังอะไร
เรื่องราวที่นำเสนอดินแดนใหม่
เรื่องราวในเกม Bravely Default II จะเป็นการเล่าเรื่องใหม่ ที่จะเกิดในดินแดนใหม่บนโลกใบใหม่ และเรื่องราวจะเกิดในทวีปที่สวยงามนาม Excillant ที่จะมีการแบ่งแยกออกเป็น 5 อาณาจักร ซึ่งตัวละครหลักในภาคนี้จะมี 4 ตัว คือ Seth หนุ่มน้อยกะลาสีเรือที่เริ่มมาเขาจะลอยน้ำมายังดินแดนแห่งใหม่ และได้มาพบกับ เจ้าหญิง Gloria ที่หลบหนีลี้ภัยออกมา รวมทีมกับ Elvis ผู้ทรงความรู้และ Adelle ทหารรับจ้างที่แข่งแกร่ง ที่เป็น 4 ตัวละครหลักในภาคนี้ และจะมีตัวละครเสริมที่เราไม่สามารถบังคับได้มาช่วยเสริมทีมด้วย
เรื่องราวของเกมยังคงเกี่ยวข้องกับ คริสตัล ที่ภาคนี้ได้ถูกขโมยไปทำให้เกิดความโกลาหล และเราต้องออกตามหากลับคืนเพื่อไม่ให้ภัยพิบัติมาถึงดินแดนยังแห่ง Excillant และมีการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการถูกเลือกของคริสตัลของผู้กล้า ที่ตัวละครในเกมจะเป็นผู้ถูกเลือกและมีการกล่าวถึง “นักรบแห่งแสงสว่าง” ด้วยนอกจากนี้เกมยังเล่าเรื่องที่มีการหักมุมจนผู้เล่นคาดไม่ถึงกันพอสมควร ซึ่งหากคุณเคยเล่น 2 ภาคแรกมาแล้วอาจจะไม่ค่อยรู้สึกประหลาดใจ และเกมมีการใช้ความเข้มข้นในการเล่าเรื่องราวที่แตกต่างกับภาพในเกมที่ดูน่ารักแต่ก็เข้ากันได้อย่างลงตัว แต่หากผู้สร้างลงทุนใส่คัตซีนงาม ๆ เหมือนภาพยนตร์จะทำให้เราอินกับเรื่องราวมากกว่านี้แน่
รูปแบบการเล่นเกม RPG ยุค 90s ที่เพิ่มความเร็วแสง
Bravely Default II ยังคงมาแนวทางเดิมที่เป็น RPG เทิร์นเบส ที่มีฉากแผนที่ มีฉากหมู่บ้าน ปราสาทและดันเจี้ยน และมีการตัดเข้าฉากต่อสู้ที่ผู้เล่นต้องใส่คำสั่งเพื่อให้ตัวละครโจมตี และภาคนี้ก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนทำให้แฟนเกมที่เคยเล่นเกมแนว Final Fantasy มาก่อนเข้าได้ทันที โดยผู้เล่นจะเห็นศัตรูเป็นตัวบนฉากทำให้ไม่ต้องเจอแบบสุ่ม และศัตรูจะวิ่งไล่เราหากเลเวลเราน้อยกว่า แต่จะวิ่งหนีเราหากเราแกร่งขึ้น และหากเราเจอศัตรูหลายตัวในบริเวณใกล้เคียงกันศัตรูจะมารุมเราทำให้ต้องสู้ต่อเนื่องหลายรอบ ถือว่าโดดเด่นพอสมควรแม้อาจจะไม่ได้สดใหม่อะไรมากมาย แต่เกมไม่ได้ดูเชยเกินไปเพราะเราสามารถเล่นไปได้เรื่อย ๆ แบบไม่ติดขัดเพราะมีการบอกว่าต้องไปที่จุดไหน และมีภารกิจเสริมให้ทำจำนวนมาก รวมทั้งมีความลับรอให้เราค้นหาอีกเพียบ
ความโดดเด่นคือความเร็วของเกมที่ผู้สร้างใส่มาแบบจัดเต็ม เพราะเป็นที่รู้กันว่าแนว RPG เทิร์นเบสแบบรอเวลา การเล่นจะค่อนข้างอืดอาดยืดยาดมาก เพราะต้องรอใส่คำสั่งแล้วตัวละครจะค่อย ๆ โจมตีหรือใช้คาถาซึ่งยุคนี้มันเชยไปมากแล้ว ทำให้ผู้สร้างได้เพิ่มโหมดเพิ่มความเร็วในการเล่นและปรับแต่งได้เองในฉากต่อสู้และปรับได้มากถึง 4 ระดับด้วย แต่แนะนำอย่าปรับสุดเพราะมันจะเร็วเกินไปจนเล่นไม่รู้เรื่องโดยเฉพาะตอนสู้กับบอสที่ต้องใช้การวางแผนในการเล่นตลอด
จุดเด่นคือการใช้พลัง BP
หากคุณเคยเล่น 2 ภาคแรกจะรู้จักค่า BP (Brave Point) ที่เมื่อกดใช้ตัวละครของเราจะโจมตีต่อเนื่องได้แล้วแต่รอบที่กดใช้ปรกติจะกดได้ 4 รอบ แต่หากใช้แล้วตัวละครนั้นจะเสียเทิร์นไปมากเท่านั้นด้วยทำให้มีโอกาสโดนศัตรูอัดได้มากกว่าเดิมเช่นกัน ซึ่งเป็นจุดเด่นของเกมซีรีส์ Bravely มาตั้งแต่แรก และยังคงทำให้เกมโดดเด่นและสนุกเพราะผู้เล่นจะสามารถคิดวางกลยุทธ์ในการเล่นได้หลากหลาย และสามารถพลิกกลับมาเอาชนะศัตรูได้ แต่ในทางกลับกันหากใช้แบบไม่คิดวางแผนให้ดีเราก็อาจจะพลาดตายยกทีมได้เช่นกัน
ระบบอาชีพที่หลากหลายและผสมกันได้
อีกจุดเด่นของเกม Bravely Default คือระบบอาชีพที่ในภาคนี้มีเพิ่มมาจนมีอาชีพมากถึง 24 อาชีพมาให้เลือกใช้ทั้งพื้นฐานอย่าง Vanguard , Black Mage , White Mage ไปจนถึงระดับสูงอย่าง Swordmaster , Phantom โดยมันจะค่อย ๆ ปลดล็อกเมื่อเราผ่านเนื้อเรื่องและได้รับพลังอาชีพใหม่มาใช้งาน ซึ่งจุดนี้เกมจะแบ่งเป็น Chapter โดยแต่ละอาชีพจะมีเลเวลของตัวเองแยกออกมา และเมื่อเพิ่มค่าไปเรื่อย ๆ จะปลดล็อกสกิลใหม่ ๆ ออกมาให้ใช้งานซึ่งก็เหมือนกับเกม RPG ทั่วไป
และอีกจุดเด่นคือการผสมผสาน 2 อาชีพเข้าด้วยกัน โดยผู้เล่นสามารถเลือกอาชีพหลักได้ และเลเวลของอาชีพจะขึ้นเฉพาะอาชีพหลักเท่านั้น ส่วนอาชีพเสริมนั้นจะเพิ่มเติมในส่วนของค่าสกิลที่เราเคยได้มาแล้วมาเพิ่มเติมเสริมเข้าไปได้ เช่นหากเราเลือกเป็นนักรบเป็นอาชีพหลักเมื่อใส่เสริมเป็น White Mage จะสามารถใช้คาถาเติมพลังได้ และยังผสมผสานได้ตามใจซึ่งมีสกิลมากมายนับร้อยทำให้เราสามารถปรับแต่งได้มากมาย นอกจากนี้หากเราเลือกอาชีพที่เข้ากันได้แล้วก็จะส่งผลให้ได้สกิลพิเศษเพิ่มเข้ามาให้เลือกใช้งานด้วย ทำให้ผู้เล่นสามารถสนุกไปกับการปรับแต่งตัวละครได้หลากหลายมาก
เกมยากท้าทายพอสมควร
แน่นอนว่าเกมปรับแต่งอาชีพได้มากมายแบบนี้สาเหตุเป็นเพราะความยากในเกม Bravely Default II ที่มีมากมายพอสมควร เราไม่สามารถแค่นั่งเก็บเลเวลให้มากแล้วผ่านไปได้ง่าย ๆ เพราะศัตรูในเกมโดยเฉพาะระดับบอสมีลูกเล่นมากมาย มีทั้งทำให้เราติดสถานะแปลก ๆ เช่นติดพิษ หรือใช้คาถาไม่ได้ รวมทั้งดูดพลังชีวิตหรือ MP ไปแบบรวดเดียวเกือบหมด แถมยังมีรูปแบบการโจมตีที่หลากหลายทำให้หากเล่นโดยไม่ตั้งค่าอาชีพให้พร้อม และไม่วางแผนการเล่นให้ดีรับประกันได้ว่ายังไงก็ไม่รอด แม้ว่าโลกของเกมอาจจะไม่ได้กว้างแต่การที่เราต้องเก็บเลเวลอาชีพและผสมผสานทำให้เราสามารถอยู่กับเกมได้ยาวนานพอสมควร
โดยรวมแล้ว Bravely Default II คือเกม RPG แนวเดิม ๆ ที่เพิ่มความเร็วสูงในการเล่นทำให้มันไม่เชยจนเกินไป คอเกมยุคใหม่สามารถเล่นได้โดยไม่รู้สึกว่าเกมช้าเกินไป นอกจากนี้ยังมีความท้าทายของ RPG ในอดีตมาให้สัมผัสกันด้วย หากคุณจำความรู้สึกสุดยอดเมื่อเราสามารถปราบบอสแต่ละตัวที่ต้องทุ่มแทบหมดตัวถึงจะกำจัดได้แล้ว Bravely Default 2 ยังมีความรู้สึกนี้ให้ได้สัมผัสกันด้วย ใครมี Nintendo Switch และชอบเกมแนว RPG แนะนำว่าไม่ควรพลาด
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส