Our score
8.0[รีวิวเกม] SaGa Frontier Remastered กำเนิดใหม่ตำนาน RPG แห่งยุค 90s
จุดเด่น
- กราฟิกปรับให้เป็น HD พร้อมโหมดปรับความเร็ว
- มีเนื้อเรื่องใหม่ให้เล่น
- เนื้อเรื่องหลากหลายมีเส้นทางในการเล่นมากมาย
จุดสังเกต
- ไม่ใช่เกมใหม่แค่รีมาสเตอร์
- เกมค่อนข้างยากสำหรับมือใหม่ ต้องทำความเข้าใจ
SaGa หนึ่งในซีรีส์เกม RPG ที่ประสบความสำเร็จพอสมควรในช่วงยุค 90s โดยต้นฉบับออกบนเกมบอยจอขาวดำ และสานต่อความสำเร็จกับ Romancing SaGa บน Super Famicom และภาคแรกของซีรีส์คือ SaGa Frontier ที่ออกบน PlayStation 1 ในปี 1997 ปีเดียวกับที่ Final Fantasy 7 วางขาย ทำให้มันอาจจะถูกกลบกระแสไปพอสมควร
และผ่านมามากกว่า 25 ปีทางค่าย Square Enix ได้ปัดฝุ่นหยิบเอาตำนานกลับมาขายใหม่กับเกม SaGa Frontier Remastered วางขายบนคอนโซลอย่าง PlayStation 4 , Nintendo Switch และ PC ด้วย โดยในตอนแรกอาจจะดูไม่น่าสนใจเพราะว่าก่อนหน้านี้มีการนำ Final Fantasy หลายภาคมารีมาสเตอร์ใหม่แบบปรับภาพนิดหน่อย และเพิ่มโหมดเล็กน้อยแล้วนำออกวางขาย แต่ดูเหมือนว่าการมาของ SaGa ฉบับปรับภาพในครั้งนี้จะมีอะไรมากกว่าเดิมพอสมควร และมีโหมดที่ทำให้แฟนเกมยุคใหม่สนุกกับมันได้ยาวนานมากขึ้นกว่าเดิม
กราฟิกปรับให้คมชัด และเพลงประกอบในตำนาน
อย่างที่บอกไปว่า SaGa Frontier Remastered เป็นการนำของเดิมมาปรับภาพใหม่ให้อยู่ในระดับ HD และสัดส่วนหน้าจอปรับให้เข้ากับหน้าจอทีวียุคปัจจุบัน ส่วนตัวแล้วด้วยงานออกแบบที่เป็นการ์ตูน SD และฉากในเกมที่เป็น 2D ที่มีฉากหลังเป็นภาพนิ่ง ถือว่าดูดีใช้ได้ และเล่นได้โดยรู้สึกไม่เชย อีกทั้งงานออกแบบที่ดูแปลกตาและร่วมสมัยถือว่าใครชอบก็ชอบเลย ใครไม่ชอบก็จะรู้สึกว่ามันแปลกไปหน่อย ส่วนเฟรมเรตก็ลื่นไหลตามสเปกเครื่องที่แรงขึ้นอยู่แล้ว แต่ที่ต้องชมคือระยะเวลาการโหลดเร็วมาก เรียกว่าใครเซ็งกับการโหลดของเกมบน CD ในยุค 90s ไม่มีให้เห็นบนภาค Remastered
อีกส่วนของความโดดเด่นที่มีมาตั้งแต่ต้นฉบับคือเพลงประกอบ ที่เกม SaGa Frontier มีธีมเด่น ๆ อยู่ตั้งแต่ภาค Romancing SaGa ที่ดูอลังการและยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นผลงานของ Kenji Ito เจ้าเก่าที่ทำเพลงให้ซีรีส์ SaGa มาตลอด และภาคนี่เนื่องจากปรับเปลี่ยนโทนของเกมให้ร่วมสมัยมากขึ้น และอยู่ในยุคใหม่เช่นฉากหลังที่มีอุปกรณ์ไฮเทคล้ำสมัยเช่นยานอวกาศ หรือหุ่นยนต์หรือฉากหลุดโลกเหมือนหนังวิทยาศาสตร์ ทำให้มีการปรับเปลี่ยนโทนของเพลงให้เข้ากับการออกแบบใหม่ด้วย ถือว่าทำได้ดีแม้อาจจะไม่ได้เทียบเท่ากับเพื่อนร่วมค่ายอย่าง Final Fantasy แต่โดยรวมแล้วถือว่าดนตรีประกอบเป็นส่วนเสริมให้ลงตัวมากขึ้น
รูปแบบการเล่นแนวเกม RPG ที่เป็นเอกลักษณ์
เนื่องจากมันเป็นการนำของเดิมมาปรับภาพไม่ได้เป็นการสร้างใหม่ทำให้ SaGa Frontier Remastered ยังคงมาในรูปแบบเกมแนว RPG แบบใส่คำสั่งแล้วผลัดกันโจมตี ที่มีความแตกต่างที่ความโดดเด่นของฉากต่อสู้ที่ไม่ได้ตายตัว มีการจัดเรียงตัวละครอย่างอิสระนอกจากนี้เกมยังไม่มีระบบเลเวล ตัวละครจะค่อย ๆ พัฒนาค่าพลังขึ้นมาเองหลังจากต่อสู้กับศัตรู และมีระบบอาวุธและเครื่องป้องกันที่เรียบง่ายแต่ใส่ตามตัวละคร ส่วนท่าไม้ตายตัวละครจะเรียนรู้ขึ้นมาเองถึงจะใช้ได้ ความยากในเกมอยู่ในระดับสูงพอสมควรหากไม่ได้เรียนรู้การใช้ท่าไม้ตายให้ถูกที่ถูกทางแล้วรับประกันเลยว่ายังไงก็ไม่รอด
นอกจากนี้ผู้เล่นยังสามารถจัดทีมได้ ที่การจัดตัวละครก่อนจะต่อสู้จะส่งผลกับการเล่นได้ ทั้งท่าไม้ตายที่มีการประสานที่มีความรุนแรงสูงมาก และมันจำเป็นอย่างมากเพราะอย่างที่บอกว่าศัตรูในเกมโหดมาก โดยเฉพาะระดับบอสในเกมที่ตบเราตายยกทีมได้ ทำให้เราต้องคิดวางแผนกันตลอด ที่เป็นจุดเด่นของซีรีส์ SaGa มาตลอด ซึ่งหากผู้เล่นไม่คุ้นเคยกับรูปแบบการเล่น เพราะผู้สร้างพยายามคิดให้แตกต่างจากเกมดังในยุคนั้นอย่าง Final Fantasy หรือ Dragon Quest
ตัวละครหลากหลาย และเรื่องราวแบบอิสระ
อีกจุดเด่นของซีรีส์ SaGa คือเรื่องราวในเกมที่มีอิสระมีทางเลือกในการทำเนื้อเรื่องที่หลากหลาย และมีเรื่องราวแยกย่อยมากมาย และทำให้เราสามารถสนุกไปได้ในรูปแบบไม่ซ้ำกันแบบไม่เบื่อแม้ว่าการนำเสนอในเกมนี้จะไม่ได้มีการเล่าเรื่องแบบภาพยนตร์หรือมี CG เยอะเหมือนเกมอื่น แต่เราก็สนุกไปกับเรื่องราวที่เขียนมาดีและมีความแตกต่าง รวมทั้งตัวละครของภาคนี้ที่มีทั้ง Asellus, Blue, Emilia, Lute, Red, Riki, และหุ่นยนต์ T260G นอกจากนี้ยังมีตัวละครอย่าง Fuse ที่ในภาครีมาสเตอร์เขาจะเป็นตัวละครที่เล่นได้ด้วย จากเดิมต้นฉบับ Fuse จะเป็นตัวละคร NPC ทั่วไป แน่นอนว่าการรีมาสเตอร์ การกลับมาทำใหม่จะมีเรื่องราวเพิ่มเติมเข้ามาจากต้นฉบับด้วย
โดยแต่ละตัวละครจะมีความแตกต่างกันทั้งเพศ , สายพันธุ์ที่มีทั้งมนุษย์ ไล่ไปจนถึงสัตว์ประหลาด และหุ่นยนต์แน่นอนว่าทุกตัวละครจะมีความสามารถที่แตกต่างเหมือนระบบอาชีพ และจะส่งผลต่อรูปแบบการอัปเกรดตัวละครด้วย เช่นตัวละครมอนสเตอร์จะมีการเปลี่ยนร่างไปเลย ที่เป็นจุดเด่นของซีรีส์ SaGa มาตลอด 20 กว่าปี ที่ในตอนเริ่มเกมผู้เล่นสามารถเลือกเล่นเป็นตัวละครได้ตามใจ โดยจะมีเรื่องราวที่แตกต่างกัน และจะมีการพบเจอกันระหว่างเนื้อเรื่องของแต่ละตัวละครด้วย และส่วนนี้เองทำให้เราสามารถสนุกไปกับเกมได้หลายรอบมาก แถมยังมีอิสระในการทำเนื้อเรื่องทำให้ SaGa เป็นอีกเกมดูดเวลาผู้เล่นมากหากเราชอบแนวทางนี้
โหมดใหม่ที่ปรับให้เร็วแบบเต็มสูบ
ของใหม่เพิ่มเติมใน SaGa Frontier Remastered ที่ต้องมีแน่ ๆ คือโหมดปรับความเร็วในการเล่นที่ช่วยเพิ่มความสะดวกมาก เพราะเป็นที่รู้กันว่าในยุคนี้เกมแนว RPG แบบนี้มีรูปแบบการเล่นที่ค่อนข้างอืดอาดเชื่องช้าไปแล้วสำหรับแฟน ๆ ในยุคนี้ และ SaGa ถือว่าปรับได้เร็วมากด้วย แต่แนะนำว่าไม่ต้องปรับให้เร็วที่สุดเพราะจะเร็วเกินไปจนเล่นไม่รู้เรื่อง และยังมีการปรับเปลี่ยนระบบเมนูใหม่บางส่วนเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย และปิดท้ายกับโหมด NewGame + ที่จะเปิดให้ผู้เล่นปรับแต่งเกมเพลย์ก่อนเข้าเกมหลักได้ตามใจชอบซึ่งมันจะเล่นได้ต่อเมื่อเราเล่นจบก่อน เหมือนโหมด NewGame + ในเกมทั่วไป
บอกกันตรง ๆ ว่าหลังจากได้เล่นแล้ว ส่วนตัวแล้วชอบ SaGa Frontier Remastered มากกว่าเกม Final Fantasy รีมาสเตอร์แบบปรับภาพที่ Square Enix เอามาวางขายก่อนหน้านี้พอสมควร เพราะผู้สร้างได้ใส่เรื่องราวเพิ่มจากต้นฉบับที่เกมก่อนหน้านี้ไม่มี และยังเสริมตัวละครเข้ามาให้เล่นเพิ่มเติม อีกทั้งเกมยังปรับให้ลื่นไหลรวดเร็วกว่าต้นฉบับที่ออกบน PS1 ใครเป็นแฟนซีรีส์ SaGa มายาวนานไม่ต้องคิดมากไปหามาเล่นได้เลย ส่วนแฟน ๆ รุ่นใหม่ใครอยากลองก็ไปหามาเล่นเป็นเกมแรกได้เช่นกัน
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส