[รีวิวเกม] “My Memory of Us” ความทรงจำของเราสอง ในยุคสมัยของสงคราม
Our score
7.8

[รีวิวเกม] “My Memory of Us” ความทรงจำของเราสอง ในยุคสมัยของสงคราม

จุดเด่น

  1. งานภาพมีความเป็นตัวของเองสูง
  2. เนื้อหาดี น่าติดตาม ครบรส
  3. puzzle หลากหลายเล่นได้เพลิน ๆ

จุดสังเกต

  1. เกมสั้นมาก 3-4 ชั่วโมงก็สามารถจบเกมได้แล้ว
  2. Puzzle หลากหลายก็จริงแต่ยังขาดความท้าทาย

สำหรับบางคนการเล่นเกมอาจจะไม่ได้หวังเล่นเอาสนุกเน้นแอ็กชันเมามันเพียงอย่างเดียว เพราะดูเหมือนการที่ได้เสพเรื่องราวภายในเกมที่ให้อารมณ์เหมือนดูหนังสักเรื่องก็เป็นอะไรที่บันเทิงดีเหมือนกัน สำหรับเกม “My Memory of Us” ที่ผมได้นำมารีวิวในวันนี้ก็ถือว่าให้อารมณ์แบบนั้นเช่นกัน ตลอดการเล่นเราจะได้ความรู้สึกเหมือนกับได้ดูหนังสักเรื่องนึงที่มีหลายรสชาติให้ได้สัมผัสรวมไปถึงการตีความสัญญะต่าง ๆ ที่สอดแทรกมาให้ขบคิดได้ในหลากหลายทิศทาง ถ้าให้ยกตัวอย่างเกมดัง ๆ ที่ให้อารมณ์ประมาณนี้ก็คงหนีไม่พ้นเกมอย่าง Little Nightmares นั่นแหละครับ

สามารถดาวน์โหลดเกมมาเล่นได้ผ่านทางแพลตฟอร์ม PS4 , Nintendo Switch , PC , Xbox One และ iOS

GAME ABOUT

“My Memory of Us” คือผลงานจากทีมพัฒนา Juggler Games ตัวเกมนำเสนอในรูปแบบแนว Platformer ที่มีเกมเพลย์แบบ Puzzle Adventure และถูกปกคลุมด้วยภาพที่มีโทนสีแค่ ขาว ดำ แดง โดยเรื่องราวของเกมจะนำเสนอผ่านความสัมพันธ์ของ 2 ตัวละครชายหญิงที่ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางสงครามระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร ซึ่งเนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับอะไรทางผมไม่อยากสปอยล์อะไรมาก เพราะการเข้าไปเสพเนื้อเรื่องภายในเกมนี้ถือว่าเป็นความสนุกอันดับต้น ๆ ของตัวเกมเลย แต่จะใบ้ให้ว่ามันจะมีทั้งการเสียดสี ชนชั้น มิตรภาพ ความรัก และหลายสิ่งหลายอย่างที่ผู้เล่นต้องอาศัยการปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเอง

GAME PLAY

Puzzle ที่ต้องอาศัยการมองสัญลักษณ์และปะติปะต่อเอาเอง

สำหรับเกมเพลย์ในเกมนี้หลัก ๆ จะมุ่งเน้นไปที่การแก้ Puzzle อย่างเดียวเลย แต่ต้องขอเกริ่นก่อนว่าการเล่าเรื่องในบางจุดอย่างฉากคัตซีนก็อาจจะมีการใช้ภาษาที่เราเข้าใจเล่าออกมา แต่สำหรับบทพูดหรือการสื่อสารในเกมเพลย์นั้นตัวละครเราจะพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ที่อาจจะเป็นภาษาของโลกนั้น และเราจะไม่เข้าใจอะไรสักอย่างเลยว่า Puzzle นั้น ๆ เราจะต้องแก้ไขยังไง? ตัวละครบอกให้เราทำอะไร? NPC ตามฉากคุยอะไรกัน?

แต่ตัวเกมก็นำเสนอวิธีแก้ปัญหาได้อย่างชาญฉลาดผ่านสัญลักษณ์ที่มีเฉดสีแดงให้เราสังเกตและปะติดปะต่อเอาเอง โดยวัตถุหรือไอเทมที่เราสามารถใช้งานในการแก้ปริศนาภายในเกมนี้ล้วนเป็นสีแดง ซึ่งเราก็ต้องสังเกตและดูดี ๆ ว่าไอเทมนั้นมันไว้ใช้สำหรับตรงไหน ใช้เพื่ออะไร ซึ่งก็ถือว่าทำออกมาได้ไม่ยากและออกจะไปทางง่ายเกินด้วยซ้ำ เพราะเราจะรู้ได้ในทันทีว่าสิ่งของสีแดงเนี่ยแหละที่เป็นกุญแจสำหรับการแก้ปัญหา เราแทบจะไม่ต้องสำรวจลองผิดลองถูกอะไรมากมายเลย ทำให้ตัวเกมขาดความท้าทายในการแก้ปริศนาอยู่พอสมควรสายฮาร์ดคอร์อาจจะยังไม่สะใจเท่าไหร่ แต่ผู้เล่นก็ไม่ต้องมานั่งเครียดกับปริศนาจนหลุดโฟกัสกับสตอรี่ที่เกมจะนำเสนอ ตรงจุดนี้ถือว่าทำออกมาได้ยอดเยี่ยมเลยล่ะ

puzzle หลากหลายรูปแบบ ที่ทำออกมาได้ครีเอตดี

ในเมื่อเกมนี้คือเกม Puzzle Adventure ที่ตลอดการเล่นเราจะต้องใช้สมองขบคิดแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าจนจบเกม ใครที่ชอบเกมที่ต้องใช้สมองขบคิดแก้ปริศนาน่าจะต้องถูกใจมากแน่นอน เพราะตัวเกมมี puzzle หลากหลายรูปแบบตั้งแต่ปริศนาง่าย ๆ อย่างลอบเร้นไปขโมยกุญแจไปจนถึงสู้กับศัตรูที่ต้องใช้วิธีสู้แบบแก้ปริศนา ซึ่งความยากง่ายก็ถือว่าค่อย ๆ ไต่ระดับได้ดี บอกเลยว่ายิ่งเล่นถึงช่วงหลัง ๆ บางปริศนาอาจจะใช้เวลาแก้นานมาก

2 ตัวละครที่บังคับได้เพิ่มมิติของเกมเพลย์ให้สนุกยิ่งขึ้น

แค่เดิน ๆ แก้ Puzzle ตามทางฟังดูเหมือนจะยังธรรมดาเกินไป แต่ถ้าเราต้องบังคับใช้ 2 ตัวละครในการแก้ปริศนาก็ดูเหมือนจะเป็นการเพิ่มมิติเกมเพลย์ที่ทำให้สนุกยิ่งขึ้นเข้าไปอีก ซึ่งเกมนี้ก็ไม่ได้ใส่ตัวละคร 2 ตัวให้เราบังคับแบบใส่เข้ามางั้น ๆ เพราะ 2 ตัวละครนี้จะมีทักษะติดตัวที่มีไว้สำหรับแก้ปริศนาเฉพาะทางที่ต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่นตัวละครผู้ชายจะมีทักษะย่องเบาที่เหมาะไว้สำหรับการลอบเร้น ส่วนตัวละครหญิงจะมีทักษะในการยิงไว้สำหรับแก้ปริศนาจากระยะไกล ซึ่งผู้เล่นก็ต้องตัดสินใจดูระหว่างเล่นว่าแต่ละปริศนาควรใช้ตัวละครไหนในการแก้ไข

เกมสั้นมาก เล่นวันเดียวก็จบได้แล้ว

สำหรับจุดสังเกตของเกมนี้คือเกมมันสั้นมาก ยังไม่ค่อยรู้สึกอิ่มสักเท่าไหร่ ประมาณ 3-4 ชั่วโมงก็สามารถจบเกมนี้ได้เลย มันเลยมีความรู้สึกเล็ก ๆ ผุดเข้ามาในหัวว่านี่เราเล่นคุ้มกับตังค์ที่จ่ายไปแล้วหรือยัง? และอย่างที่รู้กันว่าเกมแนวนี้เล่นจบคือจบเลย กลับมาเล่นใหม่ก็ไม่สนุกอีกแล้ว (เพราะรู้วิธีแก้ Puzzle และเนื้อเรื่องหมดละ) แต่ถ้ามองอีกมุมคิดซะว่าเสียตังค์เพื่อดูหนังความยาว 4 ชั่วโมงก็ฟังดูคุ้มค่าดีเหมือนกัน เพราะสตอรี่ที่ถือว่าเป็นจุดแข็งของเกมนี้ก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม

GAMEABOUT

ตัวเกมนำเสนอภาพกราฟิกแบบ 2.5D แนว Side Scrolling ที่คุมโทนสีภาพผ่าน 3 สีเท่านั้นได้แก่ ขาว ดำ แดง ซึ่งก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม ให้ความรู้สึกที่ดาร์ก ๆ ผ่านบรรยากาศมืดหม่นท่ามกลางสงครามได้ดี แต่ด้วยดีไซน์ต่าง ๆ มันออกไปทางน่ารักมุ้งมิ้ง ๆ ซะส่วนมากไม่ว่าจะศัตรู NPC หรือตัวละครหลัก โดยรวมจึงไม่ได้ให้อารมณ์สิ้นหวังหรือหดหู่อะไรนัก แต่ก็ถือว่ามีความเป็นตัวของตัวเองที่สูงระดับนึงเลย

โดยรวมผมไม่ได้มีปัญหาอะไรด้านงานภาพของเกมนี้เลย แบบไม่ได้ชอบพิเศษ และก็ไม่ได้เกลียดอะไร แต่ที่ติดใจเป็นพิเศษเลยก็คือการแสดงสีหน้าของตัวละครหลักในช่วงเกมเพลย์คือจืดชืดมาก สีหน้าไม่ค่อยบ่งบอกถึงอารมณ์ตามสถานการณ์สักเท่าไหร่แถมยังแสดงสีหน้าได้แค่ไม่กี่แบบเท่านั้น (ไม่นับฉากคัตซีนนะครับตรงจุดนั้นถือว่าทำออกมาได้ดี) ยกตัวอย่างเช่นตัวละครกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตายแต่กลับยิ้ม ไม่ว่าทำอะไรก็ยิ้ม จะให้ตีความว่าเป็นพลังของมิตรภาพอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุขอะไรทำนองนี้ผมก็มองว่ามันยัดเยียดเกินไปหน่อย ทำให้อารมณ์ร่วมหรือความอยากเอาใจช่วยตัวละครหายไปเยอะเลยขณะเล่น

สรุป

สำหรับผมมองว่าเกมนี้เหมาะเฉพาะผู้เล่นที่ชอบเสพเนื้อเรื่องเป็นหลักซะมากกว่า ถ้ามองว่าการเล่นเกมนี้คือการดูหนังสักเรื่องก็ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่ตอบโจทย์ดีเหมือนกัน ส่วนในแง่ Puzzle ต่าง ๆ ที่ตัวเกมใส่เข้ามาก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ยากเกินไปออกจะไปทางง่ายด้วยซ้ำ แต่ก็มีความหลากหลายเล่นแล้วก็ไม่ค่อยน่าเบื่อนัก แต่ก็ยังขาดความท้าทายอยู่พอสมควร (คือปริศนายาก ๆ ก็มีนะแต่น้อย) นอกจากนี้ตัวเกมยังสั้นเกินไปหน่อยสามารถเล่นจบได้ในเวลา 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น

สรุปเลยก็คือ ชอบแก้ปริศนา ชอบเสพเนื้อเรื่อง ชอบงานอาร์ตสไตล์นี้ก็เล่นเลยครับคิดซะว่าเสียตังค์ดูหนังดี ๆ สักเรื่องนึงเพราะเนื้อเรื่องของเกมนี้มีหลายจุดที่น่าสนใจมาก ๆ และทำออกมาได้ดีเลย แต่ใครที่คาดหวังเกมเพลย์ยาก ๆ เนื้อเรื่องสุดดาร์กเข้มข้นถึงเลือดถึงเนื้อมีแอ็กชันสอดแทรกชวนให้รู้สึกลุ้นระทึกตลอดการเล่น เกมนี้ยังไปได้ไม่ถึงจุดนั้น โดยรวมคือแค่เล่นได้เพลิน ๆ เท่านั้น

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส