Our score
8.0[รีวิวเกม] Rising Hell ไต่หอคอยอัดปีศาจทะลุฝ้านรก
จุดเด่น
จุดสังเกต
Rising Hell เป็นเกมอินดี้แนว Action Roguelike สไตล์ Retro พัฒนาโดยทีมงาน Tahoe Games และจัดจำหน่ายโดย Toge Productions ที่เคยพัฒนาเกมอย่าง Coffee Talk นั่นเอง
โดยก่อนที่เราจะมาพูดถึงเกมนี้ ต้องขอขอบคุณทางทีมงาน Toge Productions สำหรับโค้ดรีวิวตัวเกมครับ
Introduction
อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น Rising Hell เป็นเกมอินดี้แนว Action Roguelike โดยคอนเซปต์ของเกมเพลย์นั้นจะไม่ค่อยมีอะไรมาก นอกจากไต่หอคอยสู้กับปีศาจและบอสต่าง ๆ เพื่อเข้าด่านหอคอยถัดไป
เนื่องจากเกมนี้หลัก ๆ จะเน้นไปทางเกมเพลย์ จึงไม่ค่อยมีส่วนของเนื้อเรื่องให้ติดตามมากนัก นอกจาก Introduction ที่เริ่มต้นเกมว่า Arok ตัวละครหลักของเกมเป็นคนบาปที่ติดอยู่ในคุกหอคอยนรกของ Lucifer กับตัวละครที่เราสามารถเล่นได้อีก 2 ตัวได้แก่ Zelos และ Sydna ได้รับพลังจาก Mephistopheles ‘The Trickster’ ที่สามารถใช้ต่อกรกับปีศาจอสุรกายต่าง ๆ ได้ พวกเขาจึงใช้พลังวิเศษนี้เพื่อหลบหนีออกจากคุกหอคอยกัน
Gameplay
รูปแบบของเกมเพลย์นั้นจะเป็นเกมไต่หอคอยเก็บสะสมแต้มและสามารถเล่นได้เรื่อย ๆ จน Gameover เมื่อถึงช่วงเริ่มต้นใหม่ก็จะมาพร้อมกับค่าสถานะที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ซึ่งจากที่ผมได้เล่นมา 10 กว่ารอบ บอกได้เลยว่าเกมนี้ไม่ทำให้ผมรู้สึกเบื่อเหมือนที่คิดไว้ตอนแรกเลย
เพราะถึงแม้เกมแนวนี้จะมีรูปแบบที่ต้องเล่นซ้ำอยู่ตลอดเวลา แต่ในเกมนี้ก็มีระบบ Progression ที่ทำให้ผู้เล่นมีเป้าหมายในการเล่นต่อไปได้เรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บ Red Souls เพื่ออัปเกรดค่าสถานะตัวละครในแต่ละครั้งที่เข้าจุด Checkpoint และความยากที่เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อเราสามารถผ่านแล้วเข้าด่านหอคอยถัดไปได้
ยังไงก็ตามหากผู้เล่นตายเมื่อไหร่ล่ะก็ จะไม่สามารถเล่นต่อจากจุดเดิมได้และค่าสถานะที่เราอัปเกรดไว้จะหายหมด แต่อย่าพึ่งตกใจเพราะนอกจาก Red Souls จะเป็นเงินที่ใช้อัปเกรดค่าสถานะต่าง ๆ ได้แล้ว ยังมีเพชรสีม่วงที่ชื่อว่า Blight ซึ่งสามารถใช้ปลดล็อกตัวละครใหม่ ๆ โดยจะมีรูปแบบในการเล่นที่แตกต่างกันออกไป และสามารถใช้ซื้อ Relics ที่ช่วยปรับค่าสถานะต่าง ๆ ของตัวละครได้ทุกครั้งที่เริ่มเกมอย่างถาวร จากนั้นก็จะมีพวกระบบรางวัลที่นำแต้มในแต่ละรอบของผู้เล่นมาคำนวณเป็น EXP เมื่อสะสมพอที่จะเลื่อนขั้นได้แล้วสามารถปลดล็อกรางวัลต่าง ๆ ที่สามารถช่วยให้ตัวละครนั้นแข็งแกร่งขึ้น
ผมเองก็ได้เล่นจนปลดล็อกตัวละครครบทุกตัวแล้ว หากถามว่าชอบเล่นตัวไหนมากที่สุด คงต้องบอกว่าเป็นตัวละครเริ่มต้นอย่าง Arok เพราะเป็นตัวละครที่โจมตีในระยะประชิดและเล่นได้ง่ายมาก ต่างจากอีก 2 ตัวที่โจมตีด้วยการยิงลูกไฟในระยะไกล ซึ่งผมก็ได้ลองเล่นทั้ง 2 ตัวนั้นแล้วรู้สึกไม่ค่อยสะใจเท่ากับ Arok ซักเท่าไหร่ เลยคิดว่าน่าจะเป็นตัวละครเหมาะที่สุดสำหรับผู้เล่นที่อยากสนุกไปกับการชำแหละศัตรูได้เรื่อย ๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรมากครับ
ระบบควบคุมในเกมนี้นับว่าอยู่ในระดับที่เล่นง่าย เพราะคำสั่งในการควบคุมนั้นมีให้ใช้ไม่มากนัก โดยจะมีคำสั่งเดิน, กระโดด, โจมตี, พุ่งตัวหลบ และปุ่ม Interaction เพื่อยืนยันคำสั่งต่าง ๆ ในระหว่างที่เล่น ซึ่งจากตอนที่ผมได้ลองเล่นบน PC เป็นครั้งแรก ปุ่มที่ตั้งค่า Default มาให้ค่อนข้างจะกดไม่ถนัดเลย เนื่องจากผมเป็นคนที่มีนิ้วยาวด้วย แต่โชคดีที่ตัวเกมสามารถตั้งค่าคีย์ใหม่ได้ตามใจชอบ เลยไม่ค่อยมีปัญหาในส่วนนี้เท่าไหร่
ถึงเกมนี้จะมีรูปแบบในการเล่นที่ง่าย แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะเล่นแบบไม่ใช้ความคิดแม้แต่นิดเดียว ซึ่งตอนแรก ๆ ผมก็เล่นแบบนั้นเหมือนกัน จนถึงส่วนที่ต้องสู้กับบอสเท่านั้นแหละครับ ถึงได้รู้ว่าไม่ควรตีไปเรื่อย และควรอ่านสัญญาณจากตัวบอสเพื่อพุ่งตัวหลบท่าโจมตีต่าง ๆ ซึ่งถ้าหลบไม่ทันล่ะก็ มีสิทธิ์ที่เลือดจะโดนลดหมดหลอดภายในพริบตาอย่างแน่นอน
นอกจากรูปแบบเกมไต่หอธรรมดาในโหมด Conquest แล้ว เกมนี้ยังมีอีก 2 โหมดให้เล่นด้วยเช่นกัน
โดยอีกโหมดจะมีชื่อว่า Gauntlet จะเป็นโหมดที่มีด่าน Challenge ท้าทายผู้เล่นในรูปแบบต่าง ๆ สามารถเลือกได้ว่าต้องการเล่นแบบไหนและมีความยากในระดับเท่าไหร่ ซึ่งจะต่างกับโหมด Conquest ที่ว่าจะเน้นเกมเพลย์ในรูปแบบ Challenge สั้น ๆ มากกว่าการไต่หอขึ้นไปเรื่อย ๆ ซึ่งผมคิดว่าเหมาะสำหรับผู้เล่นที่ชอบความท้าทายและต้องการฟาร์ม EXP กับเพชร Blight ในเวลาเดียวกัน
อีกโหมดนึงที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ Weekly Challenge ซึ่งจะมีรูปแบบคล้ายกับโหมด Gauntlet แต่จะมีด่าน Challenge ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละอาทิตย์ นอกจากนั้นแล้วผู้เล่นยังสามารถทำคะแนนเก็บบน Leaderboard เพื่อแข่งกับผู้เล่นทั่วโลกได้อีกด้วย
โดยรวมแล้วตัวเกมเพลย์ถือว่าทำออกมาได้สนุกมาก สามารถเล่นได้เรื่อย ๆ พร้อมกับการควบคุมตัวละครที่ไม่ยากมากนัก แต่ก็ต้องใช้กลไกการหลบหลีกสิ่งต่าง ๆ เพื่อสู้กับศัตรูที่มีระดับยากพอสมควรด้วย ยังไงก็ตามหากคุณเป็นผู้เล่นที่ไม่ชอบเกมเพลย์แนว Roguelike เกมนี้อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับคุณซักเท่าไหร่ อีกส่วนนึงคงเป็นเรื่องของตัวละครที่มีรูปแบบในการเล่นที่แตกต่างออกกันไป ด้วยความว่า Zelos กับ Sydna มีการโจมตีที่คล้ายคลึงกันมาก ผมเลยรู้สึกว่ารูปแบบการโจมตีควรทำให้แตกต่างออกไปให้เด่นชัดมากกว่านี้ เพราะทั้งคู่เป็นตัวละครที่เราต้องเก็บเพชร Blight เพื่อปลดล็อก และตัวละคร Sydna เองนั้นมีราคาที่แพงกว่า Zelos เป็น 2 เท่า ด้วยรูปแบบการเล่นที่ไม่แตกต่างกันมากเลยทำให้รู้สึกไม่ค่อยคุ้มค่ากับเพชร Blight ที่เสียไปซักเท่าไหร่
Graphic / Presentation
งานภาพกราฟิกของเกมนี้จะเป็นสไตล์ Pixel Art, Retro ที่ทำให้นึกถึง Hades หน่อย ๆ ยังไงก็ตามสภาพแวดล้อมของแต่ละด่าน และการดีไซน์ตัวละครต่าง ๆ ดูไม่ค่อยหลากหลายมากนักแต่มีความเข้ากับธีมของตัวเกมที่กำหนดไว้โดยตรง
ในส่วนของเรื่องเสียงนั้น เกมนี้ทำหน้าที่ให้เราสนุกไปได้เรื่อย ๆ อย่างดีเลยทีเดียว โดยในส่วนของเพลงนั้นมีทำนองเป็นดนตรีเมทัลที่ทำให้ผู้เล่นรู้สึกเมามันในการกำราบปีศาจและอยากจะฟาดฟันพวกมันต่อไปเรื่อย ๆ อีกส่วนนึงคือเรื่องเสียงเอฟเฟกต์ไม่ว่าจะเป็นเสียงชำแหละปีศาจ, ตัวละครออกแรงในกันโจมตี หรือเสียงเอฟเฟกต์จากอาวุธพิเศษ ก็ทำออกมาได้ในโทนที่สะใจ ยกเว้นตัวละครอย่าง Sydna ที่มีเสียงไม่เด่นชัดเหมือน Arok กับ Zelos เพราะเสียงเอฟเฟกต์ของเธอนั้นเบามากจนแทบจะไม่ได้ยิน
สรุปโดยรวมคิดว่าในเรื่องของการนำเสนอ, เรื่องงานภาพกราฟิกและเพลงทำออกมาได้ตรงกับธีมนรกและแนวเกม Action ที่ต้องการให้ผู้เล่นรู้สึกสนุกไปกับการไต่หอคอย แต่การดีไซน์ของด่านต่าง ๆ ยังค่อนข้างขาดความหลากหลายอยู่เช่นกัน แต่ไม่แน่ว่าทางทีมผู้พัฒนาอาจจะเพิ่มด่านใหม่ ๆ ให้กับตัวเกมในอนาคตก็ได้ เนื่องจากตัวเกมตอนนี้ยังอยู่ในช่วง Early Access หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ก็ถือว่าดีเลยทีเดียว
Conclusion
ด้วยคอนเซ็ปต์เกมเพลย์ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรมากนอกจากการไต่หอสู้กับปีศาจ แต่ทางทีมผู้พัฒนาก็ได้เพิ่มสิ่งแปลกใหม่เข้าไปในเกมเพื่อให้ผู้เล่นสนุกกับการเล่นเกมนี้ได้หลาย ๆ รอบ ไม่ว่าจะเป็นระบบ Progression หรือกลไกต่าง ๆ ในแต่ละด่าน พร้อมกับเพลงเมทัลที่มันเสนาะหู ในความคิดของผมจัดว่า Rising Hell เป็นอีกหนึ่งเกมอินดี้ที่มีคุณภาพดีกว่าที่คาดไว้ตอนแรกจริง ๆ แต่ยังไงก็ตามตัวเกมยังเป็นเวอร์ชัน Early Access ซึ่งยังขาดในเรื่องของความหลากหลายในการดีไซน์ด่านต่าง ๆ และรูปแบบการเล่นของตัวละครที่ควรจะมีความแตกต่างให้เห็นอย่างเด่นชัดมากกว่านี้ ซึ่งจะเป็นเรื่องที่ดีมากหากทางผู้พัฒนาได้เพิ่มความหลากหลายเข้าไปในเกมนี้ระหว่างช่วงที่พัฒนาเกมให้เป็นตัว Full Release ครับ
สำหรับใครที่มองหาเกมเบาสมองที่ไม่กินเวลามากพร้อมกับราคาที่สบายกระเป๋าล่ะก็ ผมขอแนะนำเกมนี้เลยครับ ซึ่งตัวเกมได้วางจำหน่ายแล้ววันนี้บน PS4, Xbox One, Nintendo Switch และ PC บนหน้าร้านค้า Steam ในราคา 189 บาทครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส