รีวิวเกม Ninja Gaiden Master Collection รวมฮิตตำนานเกมนินจาสุดโหด
Our score
7.5

รีวิวเกม Ninja Gaiden Master Collection รวมฮิตตำนานเกมนินจาสุดโหด

จุดเด่น

  1. รวมฮิตสามเกมในตำนานในชุดเดียว
  2. เพิ่มตัวดาวน์โหลดเสริมมาครบ

จุดสังเกต

  1. กราฟิกยังคงเหมือนเดิม และบน Switch ดูแย่ในบางจุด
  2. ไม่มีอะไรใหม่เพิ่มเข้ามาเลย

หนึ่งในตำนานของวงการอย่างซีรีส์เกม Ninja Gaiden ที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัยแฟมิคอมในรูปแบบ 2D ที่ขึ้นชื่อเรื่องความยากแบบสุดโหด และหลังจากนั้นก็มีการกำเนิดใหม่กับเกมชื่อเดียวกันกับการเปลี่ยนมาสู่โลก 3D ที่สามารถทำได้ประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน และล่าสุดนินจาในตำนานกลับมาอีกครั้งในแบบรวมฮิตในชื่อเกม Ninja Gaiden Master Collection ที่มาขายใหม่บน PS4 , Xbox One , Nintendo Switch และ พีซี

โดย Ninja Gaiden Master Collection เป็นการรวมฮิตเอาสามเกมที่มีทั้ง Ninja Gaiden Sigma, Ninja Gaiden Sigma 2 และ Ninja Gaiden 3: Razor’s Edge ที่เป็นการกลับมาเกิดใหม่ของนินจาในตำนานแบบ 3 มิติซึ่งเป็นผลงานของผู้สร้างในตำนานอย่างคุณแว่นดำ Tomonobu Itagaki (ยกเว้นภาคสาม) ที่เป็นจุดกำเนิดของเกมนินจาเลือดสาดที่ทั้งรุนแรงและมีความยากแบบสุดโหด ชนิดศัตรูธรรมดาตัวเดียวก็อัดเราตายได้ง่าย ๆ เรียกว่าจะเหม่อระหว่างเล่นไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว และการมาแบบมัดรวมสามเกมถือว่าคุ้มค่าแม้ว่าจะไม่ได้เพิ่มเติมอะไรมามากเท่าที่ควรก็ตาม

กราฟิกเหมือนเดิม แต่เฟรมเรตลื่นขึ้น

สำหรับการกลับมาของนินจา 3 ภาคมัดรวมกันไม่ได้เป็นการรีมาสเตอร์ หรือปรับภาพอะไรใหม่เลยเป็นการเอามาขายใหม่เท่านั้นทำให้กราฟิกในเกมไม่ได้ปรับให้คมชัดระดับ 4K ตามยุคสมัยอะไร แต่ของเดิมก็เป็น HD อยู่แล้วแม้จะเป็นกราฟิกจากเกมยุคเก่าแต่ก็ถือว่าพอรับได้ แต่ที่ต้องชมคือเฟรมเรตในเกมที่ลื่นไหลไม่มีสะดุดตลอดการเล่นทั้ง 3 ภาค อย่างไรก็ตามบน Nintendo Switch จะพบว่าผู้สร้างได้ใช้ความละเอียดแบบปรับเปลี่ยนตลอด มีหลายฉากที่ถูดลดความคมชัดให้ต่ำกว่าระดับ HD ด้วยซ้ำทำให้น่าผิดหวังบ้างสำหรับบน Switch

ส่วนการนำเสนอที่เหลือทั้งเพลงประกอบที่มาแนวผสมผสานระหว่างเพลงเร้าใจแบบเกมแอ็กชัน กับเพลงแนวร็อกที่เข้ากับตัวเกมได้ลงตัว ส่วนคัทซีนในเกมก็จัดเต็มเช่นกันโดยเฉพาะฉากที่เล่าเรื่องถือว่าทำได้ดี แถมยังผสานกับเกมเพลย์ได้ลื่นไหลแบบไม่มีสะดุด และหากคุณทันเล่น Ninja Gaiden มาตั้งแต่สมัยเป็น 2D บนแฟมิคอมจะคุ้น ๆ กับบางซีนที่เหมือนให้ความเคารพต้นฉบับอยู่และตัวเอกทั้งสามภาคคือนินจาในตำนานอย่าง ริว ฮายาบุสะ เหมือนเดิม ที่มีเรื่องราวเข้มข้นกว่าเดิมและมีรายละเอียดให้เราติดตามไปทั้ง 3 ภาค (ในรีวิวนี้จะแบ่งออกเป็นภาคเพื่อให้เข้าใจง่าย)

Ninja Gaiden Sigma

ภาคแรกของซีรีส์ใหม่ที่มาในรูปแบบ แอ็คชัน 3D แบบจัดเต็มที่เดิมต้นฉบับออกบน XBox รุ่นแรกและได้ย้ายบ้านมาลง Xbox360 และ PS3 ด้วยในรูปแบบภาพที่อัปเกรดเพิ่มความคมชัด ส่วนรูปแบบการเล่นถือว่าทำได้ดีเยี่ยมในยุคสมัยนั้น เพราะนอกจากมันจะเป็นแอ็กชันเต็มสูบเลือดสาดกระจายชนิดตัดหัวขาดกันเลย รูปแบบการเล่นยังไฮสปีดเต็มร้อยแบบรวดเร็ว แถมยังฉีกกฎของการสร้างเช่นศัตรูตัวแรก ๆ ที่เราพบเจอในเกมก็จัดการเราให้ตายได้ง่ายดายแล้ว ทำให้มันมีทั้งความท้าทายและแอ็กชันเร้าใจแบบไม่มีจุดให้พักหายใจกันเลย

ส่วนการบังคับเน้นการกดปุ่มตามจังหวะที่มีทั้งโจมตีเบา โจมตีหนัก และยังมีการกระโดดหรือกลิ้งตัวหลบหลีก ที่เราจำเป็นอย่างมากที่ต้องปรับให้ใช้ตลอดเพราะอย่างที่บอกไปว่ามันค่อนข้างยากเราต้องงัดทุกอย่างที่มีมาเพื่อต่อสู้กับกองทัพศัตรู ที่มาพร้อมกันหลายรูปแบบแถมยังฉลาดทำงานเป็นทีม และพร้อมพลีชีพชนิดโดนตัดขาไปยังพยายามคลานมาเอาระเบิดพลีชีพจัดการเราด้วย เรียกว่าโหดหินสุด ๆ นอกจากนี้ยังมีระบบพัฒนาตัวละครที่ใส่มาในรูปแบบการอัปเกรดค่าพลังอาวุธ เพิ่มท่าไม้ตายใหม่ และวิชานินจาสุดโหดแบบเกมทั่วไป

แน่นอนว่าเรายังมีอาวุธให้ใช้หลายประเภท ที่จะค่อย ๆ ปลดล็อกออกมาเช่น ดาบ , ไม้พลองเหล็ก หรือกรงเล็บ ที่มีความแตกต่างและจุดเด่นคนละแบบ นอกจากนี้ยังมีฉากที่เราต้องแก้ปริศนาเพื่อเปิดทางไปต่อด้วยถือว่ามีหลายรูปแบบให้ได้สัมผัส แม้ว่ายุคนี้อาจจะธรรมดา แต่หากมองย้อนไปปี 2004 ถือว่า ภาคแรกเปิดตัวให้แฟนทั่วโลกได้สนุกไปกับตำนานนินจาและหากใครไม่เคยเล่นไม่ควรพลาด

Ninja Gaiden Sigma 2

สานต่อความสำเร็จกับภาค 2 ของซีรีส์นินจา 3D ที่คราวนี้ออกบน PS3 และ XBox360 แล้วทำให้กราฟิกถือว่ารับได้ในยุคนี้ และรูปแบบการเล่นพัฒนามาจากภาคแรก ที่มีอาวุธใหม่รวมทั้งวิชานินจาใหม่ที่มีความรุนแรงมากกว่า และมุมกล้องของภาคนี้ปรับให้ดีขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตามผู้สร้างได้ลดความซับซ้อนลงพอสมควร เน้นแอ็กชันจัดเต็มมากกว่าทำให้ไม่ค่อยมีปริศนาในเกมให้แก้กันแล้ว แต่เพิ่มความรวดเร็วและความโหดให้มากกว่าเดิม ซึ่งเราจะได้ท่องไปทั่วโลกทำให้มีฉากที่หลากหลาย ส่วนระบบพัฒนาตัวละครยังเหมือนเดิมที่ผู้เล่นจะต้องเก็บค่าพลังมาปลดล็อกเหมือนเดิม ใครชอบภาคแรกในส่วนของแอ็กชันต้องชอบภาคต่อมากกว่าเดิมแน่นอน

Ninja Gaiden 3: Razor’s Edge

ปิดท้ายกับภาคล่าสุด ที่ออกท้ายยุค PS3 , Xbox360 และยังเคยลง WiiU ของปู่นินด้วย และทีมสร้างภาคนี้ได้เปลี่ยนใหม่หมด เพราะคนเดิมคุณแว่นดำได้ลาออกจากค่ายไปแล้ว ทำให้มันมีความแตกต่างจาก 2 ภาคแรกพอสมควร ไล่ตั้งแต่เรื่องราวที่มีการเพิ่มความบ้าคลั่งของตัวเอก เพราะภาคนี้ริวของเราจะโดนคำสาปจากดาบมังกรทำให้แม้จะมีพลังมากขึ้นแต่ก็จะมีผลข้างเคียงให้เราต้องปวดหัวไปตลอดเกม แต่ทำให้เราจะได้เห็นแอ็กชันใหม่ ๆ กับท่าไม้ตายที่รุนแรงกว่าเดิมมาก

นอกจากนี้ทีมงานใหม่ได้ปรับให้เกมเน้นแอ็คชันมากกว่าเดิมเข้าไปอีกทำให้เกมแทบจะเป็นเส้นตรงไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่จัดการศัตรูให้หมดฉากแต่ได้เพิ่มรูปแบบใหม่ ๆ หลายส่วนเข้ามาเช่นกระโดดเกาะกำแพง หรือฉากหนีตายที่หากพลาดก็จะตายเลยเข้ามา และยังใส่อะไรให้ดูหลุดโลกโอเวอร์กว่าเดิมทำให้แม้จะมีการเปลี่ยนทีมสร้างแต่ส่วนตัวแล้วภาค 3 ยังถือว่าสนุกอยู่แม้จะมีอะไรแตกต่างอยู่บ้าง

และส่วนที่เสริมเข้ามาของ Ninja Gaiden Master Collection ฉบับมัดรวมขายใหม่คือ ตัวละครสาว ๆ ทั้ง Ayane , Rachel , Momiji , Kasumi มาเป็นตัวละครที่เล่นได้ในเกมด้วย รวมทั้งตัวดาวน์โหลดเสริม ทั้งชุดพิเศษของตัวละครก็ใส่เข้ามาให้ใช้งานกันครบ ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อแล้ว ส่วนมือใหม่ใครเล่นโหมดธรรมดาแล้วไม่รอดแนะนำให้ไปลองกดโหมดฮีโรหรือโหมดง่ายที่มีโหมดง่ายให้เลือกเล่น ที่เล่นยังไงก็จบถือว่าเอาไว้เป็นตัวช่วยสำหรับคนที่อยากสัมผัสตำนานความโหด

ปิดท้ายหากถามถึงความคุ้มค่าของ Ninja Gaiden Master Collection ถือว่าพอจะมีอยู่เพราะแม้ผู้สร้างจะไม่ได้ลงทุนปรับภาพให้เป็น 4K ตามสมัยนิยมก็ตาม แต่ของเดิมก็พอใช้ได้แม้จะขาดรายละเอียดอยู่บ้างและเฟรมเรตของเกมถือว่าลื่นไหลระดับ 60 FPS ตลอดเกม ใครไม่เคยเล่นต้นฉบับมาก่อนยิ่งแนะนำเพราะคุณจะได้พบเกมแอ็กชันที่สนุกเร้าใจแบบไม่ให้ผู้เล่นพักหายใจกันตลอดเกม หรือแฟนประจำของซีรีส์นินจาสุดโหดเลือดสาดก็ไม่ควรพลาดเช่นกัน

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส