Our score
10.0Doki Doki Literature Club Plus! (PC)
จุดเด่น
- การนำเสนอเนื้อเรื่องที่สร้างสรรค์ และฉีกกฎออกมาได้อย่างโดดเด่น เหมาะสำหรับผู้เล่นที่ชอบความแปลกใหม่
- การออกแบบตัวละครที่เสมือนจริงโดยไม่ต้องพึ่งกราฟิกที่สมจริงเหมือนกับเกมระดับ AAA ก็สามารถทำให้ผู้เล่นจดจำตัวละครนั้นได้อย่างไม่มีวันลืม
- Side Story ที่สามารถเล่นได้หลายชั่วโมง พร้อมกับบทเรียนดี ๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนและการดูแลจิตใจตัวเอง
- ถึงจะมีการตัดส่วนสำคัญที่มีในภาคต้นฉบับออกเพื่อรองรับเวอร์ชันคอนโซล แต่ทางทีมงานก็สามารถทดแทนในส่วนนี้ได้ด้วยสิ่งที่เหนือกว่า
- ส่วนขยายเนื้อเรื่องหลักที่ตอบโจทย์ผู้เล่นจากภาคต้นฉบับ และสามารถทำให้ผู้เล่นใหม่อยากติดตาม
- ราคาบน Steam โซนไทยถูกกว่าประเทศอื่น ๆ
- เพลงประกอบมีดนตรีที่ผ่อนคลาย และสื่อถึงตัวละครได้เป็นอย่างดี
- เกมนี้ไม่มีบั๊ก
จุดสังเกต
- ช่วงแรกของเกม อาจจะไม่เหมาะสำหรับผู้เล่นที่ไม่ชอบอ่าน Dialogue เยอะ ๆ
- เนื้อหาความรุนแรงที่ไม่เหมาะสมสำหรับผู้เล่นที่กำลังประสบปัญหาทางจิตใจ และอายุไม่ถึง 17 ปี
- ราคาเวอร์ชันคอนโซลแพงกว่าเวอร์ชัน PC
หลังจากที่ Doki Doki Literature Club ประสบความสำเร็จอย่างมากในปี 2017 แดน ซอลวาโต (Dan Salvato) ผู้พัฒนาเกมนี้ก็ได้กลับเข้าวงการอีกครั้ง หลังจากหายหน้าหายตาไปเป็นเวลา 2 ปี ก็ได้นำ Team Salvato กลับมาดำเนินงานที่ยังค้างคาจากปี 2018 อีก 2 โปรเจกต์ โดยหนึ่งในนั้นก็คือ Doki Doki Literature Club Plus! นั่นเอง
ในภาค Plus! นี้ นอกจากจะเป็นการ Remaster ภาคต้นฉบับแล้ว ยังมาพร้อมกับคอนเทนต์ใหม่ ๆ อย่างโหมด Side Story และได้เพิ่มแพลตฟอร์มให้กับผู้เล่นบน Playstation, Xbox และ Nintendo Switch ได้เข้าถึงเช่นกัน
ตัวผมเองเคยได้เล่นภาคต้นฉบับมาก่อน ซึ่งประทับใจกับตัวเกมเป็นอย่างมากในตอนนั้น หลังจากได้เห็นตัวอย่างจากงาน E3 2021 ที่ผ่านมา ก็นึกว่าภาค Plus! น่าจะไม่มีอะไรมากนอกจากเนื้อเรื่องเดิมที่เพิ่มโหมด Side Story เล็กน้อยเข้ามา แต่หลังจากที่ได้ลองเล่นดู มารู้อีกทีตัวเกมก็จูงผมให้ทำ Progression จนครบ 100% ไปแล้ว ซึ่งใช้เวลาเล่นโดยรวมทั้งหมด 19 ชั่วโมงกว่าครับ
Introduction
Doki Doki Literature Club เป็นเกมแนว Visual Novel, Dating Sim ที่ผู้เล่นจะรับบทเป็นนักเรียนมัธยมชายที่ถูกเพื่อนสาวในวัยเด็ก Sayori ชวนเข้าร่วมชมรมวรรณกรรม ซึ่งเราจะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนสาวอีก 3 คนในชมรม นั่นก็คือ Natsuki, Yuri และ Monika จุดประสงค์ของเกมนี้ผู้เล่นจะต้องเขียนบทกลอนให้โดนใจสาว ๆ ชมรมวรรณกรรมที่คุณชอบ จนกว่าจะ….เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ใน Doki Doki Literature Club Plus! จะมีเนื้อเรื่องหลักแบบเดียวกับภาคต้นฉบับที่ได้รับส่วนขยายจาก ̵͔̈ ̷̭̟̋̈́ ̸͖͇͑ ̷͕̳͘ṩ̶͎͑p̴͍̬̈̑͂ȯ̴̪i̶̹͂̓ḷ̸̑̉̕ͅȩ̴̀r̶̫̠͖̒͑̃ ̴̱͇̋ ̷̳̈́͝ ̴̩̪̒̈́ พร้อมกับคอนเทนต์เสริมใหม่ ๆ อาทิ
– โหมด Side Story ที่จะเล่าความเป็นมาของชมรม และความสัมพันธ์ของสาว ๆ ทั้ง 4 ก่อนที่จะเข้าช่วงเนื้อเรื่องหลัก
– เพิ่มฉาก CG ใหม่ ๆ พร้อมกับฉาก CG เดิมที่ถูกปรับให้ชัดขึ้น
– งาน Artwork ที่ไม่มีในเกมภาคต้นฉบับ
– เพลงใหม่ (เป็นส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ส่วนตัวคิดว่าไม่ควรมองข้ามครับ)
Story
Team Salvato ได้ทำหน้าที่ในการเขียนเนื้อเรื่องออกมาได้ประทับใจมาก ถึงเนื้อเรื่องหลักในภาค Plus! คือแบบเดียวกับภาคต้นฉบับ แต่ส่วนเสริมต่าง ๆ ที่เพิ่มเข้ามาในภาค Plus! ก็สามารถทำหน้าที่ขยายเนื้อเรื่องออกมาให้กว้างขึ้น และดึงความสนใจจากผู้เล่นเก่าให้กลับมาติดตามได้อีกครั้งหลังจากที่ภาคต้นฉบับได้จบไปนานมากแล้ว ซึ่งจากที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ในภาคนี้นอกจากจะมีส่วนเสริมอย่าง Side Story แล้ว จะมีส่วนขยายปริศนาที่ผู้เล่นจะต้องไปหาคำตอบเองครับ
สำหรับใครที่ไม่เคยเล่นภาคต้นฉบับมาก่อน ฟังจากที่เล่าไปคร่าว ๆ จะรู้สึกเหมือนกับเป็นเกม Visual Novel, Dating Sim ธรรมดา แต่หากคุณสามารถเล่นผ่านช่วงแรกไปได้แล้วล่ะก็ จะเจอกับสิ่งที่เหนือความคาดหมายอย่างแน่นอน
Main Story
เนื้อเรื่องหลักของเกม จากที่ผมเล่นวนซ้ำ 4 รอบ(เพื่อเก็บ Progression ให้ครบ 100%) ทำให้สังเกตออกว่าการเขียนเนื้อเรื่องของเกมนี้มีองค์ประกอบที่ครบตามทฤษฎีการแต่งเรื่องราวที่ประกอบไปด้วย Introduction > Rising Conflict > Climax > Falling Action > Conclusion
อย่างไรก็ตาม เสน่ห์ของเนื้อเรื่องไม่ได้อยู่ที่องค์ประกอบการเขียนที่ครบอย่างเดียว แต่มันมาจากความคิดสร้างสรรค์ที่ทาง Team Salvato นำทฤษฎี Break The 4th Wall มาใช้ควบคู่กับการเล่าเรื่องของเกม ซึ่งแน่นอนว่าไอเดียแบบนี้สามารถทำให้ตัวผมเองและผู้เล่นอีกหลายคนที่เล่นจบแล้ว รู้สึกชื่นชอบในความแปลกใหม่นี้ และสามารถจดจำเกมได้อย่างไม่มีวันลืมเลยครับ
“ทำไม Break The 4th Wall ถึงเป็นจุดเด่นของเกมนี้?” สำหรับใครที่เคยเล่น Deadpool เวอร์ชันเกมมาก่อนจะรู้ว่า Doki Doki Literature Club ไม่ใช่เกมแรกที่นำการ Break The 4th Wall มาใช้แน่นอน อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 เกมนี้จะมีการใช้ทฤษฎีในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป
- ใน Deadpool เวอร์ชันเกมจะใช้ทฤษฎี Break The 4th Wall เพื่อให้พูดคุยกวนประสาทกับผู้เล่นเพื่อความบันเทิงอยู่ตลอดเวลา ยกตัวอย่าง เมื่อเราทำ Deadpool ตายบ่อย ๆ เราจะโดนมันด่ากลับครับ
- แต่ใน Doki Doki Literature Club นั้น นอกจากจะใช้ทฤษฎี Break The 4th Wall ในการสื่อสารกับผู้เล่นโดยตรงได้แล้ว ยังใช้ควบคู่ไปกับการดำเนินเนื้อเรื่องของเกมอีกด้วย ซึ่งหากให้ผมยกตัวอย่างแบบไม่สปอยล์เนื้อหาของเกม คงต้องบอกเป็นคำใบ้ว่า
- ตอนเริ่ม = คุณเล่นเกมอยู่, ตอนหลัง = คุณเป็นผู้ที่ถูกเล่นครับ
- แนะนำให้สังเกตข้อความจากตอนเริ่มเกมครับ
ใช่เลย! คำเตือนที่กล่าวไว้ตอนเริ่มว่าเกมนี้ไม่เหมาะสำหรับเด็ก ๆ และผู้ที่มีสุขภาพจิตอ่อน แน่นอนว่าจะต้องเอะใจกันว่า “เกมจีบสาวน่ารัก ๆ แบบนี้จะมีอะไรที่ไม่เหมาะสมนะ คอนเทนต์ 18+ งั้นหรอ? ไม่สิเพราะในข้อความยังเขียนอีกว่าไม่เหมาะกับคนจิตอ่อนด้วย” ตามที่ได้กล่าวไป ผมขอแนะนำว่าให้ไปหาคำตอบเอาเองเพื่อประสบการณ์ที่ครบรสที่สุดครับ
***หากผู้เล่นมีสภาพจิตเหมือนหนึ่งในประเภทที่ถูกกล่าวไว้จริง ขอบอกอย่างเด็ดขาดว่าห้ามเล่นเกมนี้ครับ เพราะเนื้อหามีความรุนแรงสามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจคนเป็นอย่างมาก***
Side Story (ส่วนเสริมจาก Plus!)
ต่างจากเนื้อเรื่องหลักที่จะทำให้ผู้เล่นต้องถามตัวเองว่า”มันเกิดบ้าอะไรขึ้น?” Side Story จะมีเนื้อเรื่องที่อุ่นใจคนละโทนกันเลย และจะมี Setting อยู่ในช่วงก่อนเริ่มเนื้อเรื่องหลัก ที่จะพาเราไปรู้จักเรื่องราวความสัมพันธ์ของ 4 สาวในช่วงที่ชมรมพึ่งก่อตั้งโดย Monika และแน่นอนว่าในช่วงนี้ตัวละครเอกของเราจะยังไม่มีบทบาทในเกมครับ
Side Story จะมีให้เล่น 3 ตอนในช่วงแรก (Trust, Understanding และ Respect) และอีก 4 ตอนที่จะปลดล็อกหลังจากที่ผู้เล่นดำเนินเนื้อเรื่องหลักด้วยการเขียนกลอนให้ถูกใจสาว ๆ ทั้ง 3 คนในชมรมแล้ว (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการปลดล็อก Secret Ending อีกด้วย)
อาจจะดูเสียเวลาก็จริง เพราะจะต้องรีเซฟเพื่อปลดล็อกเนื้อเรื่องหลักช่วงแรกที่ต่างกันไปด้วยกัน 2 รอบ แต่โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าไม่เลยครับ เพราะ Side Story จะเน้นเนื้อเรื่องเกี่ยวกับสาว ๆ ทุกคนในชมรม เลยมองว่าผู้เล่นควรจะเข้าใจลักษณะนิสัยของสาว ๆ ให้ดีจากเนื้อเรื่องหลักซะก่อน (ซึ่งทุกครั้งที่เราเขียนกลอนถูกใจสาวในชมรม จะมีช่วงที่เราได้ทำความรู้จักกับสาวที่เราเลือกมากขึ้น) จากที่เล่น Side Story มาครบแล้ว จึงไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ว่าทำไมถึงมีเงื่อนไขแบบนี้เพื่อปลดล็อกตอนที่เหลือครับ
โดยรวมแล้ว Side Story ดูเหมือนจะเป็นส่วนเล็ก ๆ ที่เพิ่มเข้ามา แต่พอได้เล่นจริง ๆ แล้วก็ใช้เวลาไปกว่า 3-4 ชั่วโมง ซึ่งก็ถือว่าเยอะพอสมควร และเนื้อเรื่องนั้นเขียนออกมาได้น่าสนใจอีกด้วย โดยเฉพาะกับผู้เล่นเก่า เพราะ Side Story เป็นเนื้อเรื่องที่ทำออกมาให้เราได้รู้จักและเข้าใจกับตัวละครทั้ง 4 มากขึ้น หลังจากเล่นเนื้อเรื่องหลักเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ
นอกจากนั้นแล้ว บท Dialogue ยังให้ข้อคิดดี ๆ เกี่ยวกับการพัฒนาจิตใจตัวเองให้ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข และการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวเรากับเพื่อนให้แน่นแฟ้นอีกด้วย ส่วนตัวคิดว่าข้อคิดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดูมีประโยชน์อย่างหนึ่ง เพราะอุปสรรคที่เหล่าตัวละครเจอใน Side Story มีความคล้ายกับปัญหาต่าง ๆ ที่คิดว่าหลายคนคงเคยเจอในช่วงวัยเรียน ซึ่งในแต่ละตอนก็จะจบได้ด้วยดีเพราะเหล่าตัวละครได้เรียนรู้วิธีแก้ปัญหาต่าง ๆ ตามชื่อของตอนนั้น ๆ เลยครับ
̶͔͗ ̶̩̌ ̴͔͂?̶̞̈́?̴̜͗?̴̪́?̸̖͊?̶̢̛?̶̯̔?̵̹͐?̶̫̓?̸̠̐?̶͙̓ ̶̙̍ ̸̜̎ ̴͙̄ (ส่วนเสริมจาก Plus!)
เอาล่ะ! มาถึงในส่วนขยายของเนื้อเรื่องที่เป็นจุดขายของภาค Plus! แน่นอนว่าเมื่อเริ่มเกมภาคนี้ทุกคนจะต้องได้เจอกับหน้าจอ Login แปลก ๆ ซึ่งไม่เคยมีในภาคหลัก หลังจากที่กด Login ตัวเกมจะเปิดหน้าจอ Desktop สไตล์ Virtual Machine ที่ประกอบไปด้วยตัวเลือกต่าง ๆ ตามรูปด้านล่าง
หน้าจอนี้เป็นส่วนที่ทำออกมาเพื่อรองรับเวอร์ชันคอนโซล เนื่องจากตัวเกมภาคต้นฉบับอย่างที่ผู้เล่นเก่ารู้กันดีว่าตัวเกมจะมีองค์ประกอบที่ต้องพึ่งระบบของ PC เราในการเล่นเกมนี้
อย่างไรก็ตามเจ้า Virtual Machine นี้ไม่ได้มีหน้าที่แค่นั้นครับ ถ้าให้บอกใบ้ก็…คุณเห็นปุ่ม ‘Mail’ นั่นไหม คงไม่คิดว่าทางทีมงานจะใส่คำสั่งนี้ให้ผู้เล่นใช้เช็กอีเมลตัวเองจาก Hotmail, Gmail, Yahoo อยู่แล้วใช่ไหมล่ะ?
ถึงผมจะสปอยล์ในส่วนนี้ไม่ได้แต่ก็พอบอกได้ว่า หลังจากที่เล่นครบ 100% ผมชอบที่ทางทีมงานได้ประยุกต์ใช้ไอเดียที่ฉีกกฎอีกครั้ง เพราะนอกจากจะสร้างสิ่งที่นำมาใช้ทดแทนส่วนที่ถูกตัดออกเพื่อรองรับตัวเกมเวอร์ชันคอนโซลแล้ว ยังทำให้มันมีรายละเอียดเพื่อขยายเนื้อเรื่องของเกมได้อีกด้วย นอกจากนั้นแล้ว ดูเหมือนว่าในส่วนขยายจะมีการบอกใบ้ ̵͔̈ ̷̭̟̋̈́ ̸͖͇͑ ̷͕̳͘ṩ̶͎͑p̴͍̬̈̑͂ȯ̴̪i̶̹͂̓ḷ̸̑̉̕ͅȩ̴̀r̶̫̠͖̒͑̃ ̴̱͇̋ ̷̳̈́͝ ̴̩̪̒̈́ ของ Team Salvato เช่นกันครับ
สรุปโดยรวมแล้ว เนื้อเรื่องของ Doki Doki Literature Club สามารถเขียนออกมาให้ผู้เล่นอยากติดตามได้เรื่อย ๆ จนจบ เพราะมีการเล่าเรื่องที่ผสมกับความคิดสร้างสรรค์ที่แหวกแนว และไม่เหมือนกับเกมทั่วไป อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่พึ่งได้เล่นตัวเกมภาคต้นฉบับไม่นานมานี้ อาจจะได้รับอรรถรสของเนื้อเรื่องหลักได้ไม่เท่ากับ’ผู้เล่นใหม่’ หรือ ‘ผู้เล่นที่ไม่ได้แตะภาคต้นฉบับมานาน’ เมื่อได้มาเล่นอีกรอบ
ซึ่งคอนเทนต์ใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามาก็สามารถทำหน้าที่รองรับให้กับผู้เล่นประเภทนั้นให้กลับมาสนใจได้อย่างดีเลยทีเดียว เพราะทางทีมงานจะต้องรู้อยู่แล้วว่าหากจะทำเกม Remastered จะต้องมีผู้เล่นที่ตั้งคำถามกับตัวเองก่อนที่จะตัดสินใจซื้อว่า “ในเมื่อเนื้อเรื่องมันก็เหมือนเดิม แถมภาคต้นฉบับก็ฟรีอยู่แล้ว ทำไมจะต้องซื้อภาค Plus! ด้วย?” เพราะเหตุนั้นเอง Team Salvato จึงทำให้หน้าจอ Virtual Machine มีส่วนในการขยายเนื้อเรื่อง พร้อมกับปริศนาต่าง ๆ ที่ไม่มีในภาคต้นฉบับ มากกว่าเป็นแค่ตัวรองรับเวอร์ชันคอนโซล และให้ผู้เล่นได้ใช้เวลาไปกันเพื่อแก้ไขปมต่าง ๆ ในเกมนี้ครับ
Gameplay
ในส่วนของเกมเพลย์นั้นเหมือนกับเกมแนว Visual Novel ทั่วไป จะมีตัวเลือกให้ผู้เล่นตัดสินใจใช้ตัวเลือกที่จะมีผลกับการดำเนินเรื่อง เกมเพลย์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเกมนี้คือการแต่งกลอน ซึ่งผู้เล่นจะต้องเลือกคำที่ถูกใจสาวที่คุณชอบ และแน่นอนส่วนที่เป็นจุดเด่นของเกมนี้ก็คือส่วนที่ต้องใช้องค์ประกอบของ PC คุณในการดำเนินเนื้อเรื่องตามที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งถูกดัดแปลงจากภาคต้นฉบับให้มาอยู่ใน Virtual Machine ที่ทำมาเพื่อรองรับเวอร์ชันคอนโซลครับ
ส่วนตัวคิดว่าเกมเพลย์ช่วงแรก ๆ ไม่ค่อยมีอะไรเป็นพิเศษ เพราะเหมือนกับเกม Dating Sim ธรรมดาทั่วไป ที่เราต้องอ่านเนื้อเรื่อง และเลือกคำพูดให้ตัวละครนั้นถูกใจ ซึ่งคิดว่าเหมาะสำหรับผู้เล่นที่ชอบเกมแนว Visual Novel หรือชอบอ่านเนื้อเรื่องมากกว่า
แต่เมื่อพ้นจากช่วงแรกไปแล้ว จะเป็นของจริงครับ ถึงคุณจะเป็นผู้เล่นทั่วไปก็ตาม เมื่อถึงช่วงหลังจากนั้นแล้ว บอกได้เลยว่ายังไงก็ต้องตกใจ เพราะในส่วนนี้ผู้เล่นจะต้องดำเนินเรื่องต่อหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอย่างหวาดระแวง พร้อมกับต้องแก้ปริศนาต่าง ๆ จาก ̷̭̟̋̈́ ̸͖͇͑ ̷͕̳͘ṩ̶͎͑p̴͍̬̈̑͂ȯ̴̪i̶̹͂̓ḷ̸̑̉̕ͅȩ̴̀r̶̫̠͖̒͑̃ ̴̱͇̋ ̷̳̈́͝ ̴̩̪̒̈́ อีกด้วย
โดยรวมคิดว่าหากคุณเป็นคนที่ชอบเกมเนื้อเรื่องหรือชอบเกมแนว Visual Novel, Dating Sim อยู่แล้ว การันตีได้ว่าคุณจะต้องรักเกมเพลย์นี้อย่างแน่นอน สำหรับผู้เล่นทั่วไป(รวมไปถึงตัวผม) และผู้เล่นที่ไม่ชอบอ่านเยอะ อาจจะมีแค่ช่วงแรกที่ทำให้รู้สึกเฉย ๆ แต่นั่นก็เป็นจุดประสงค์ที่ทางทีมงานตั้งใจจะปูให้เป็น First Impression ให้กับผู้เล่นอยู่แล้วครับ
Graphic / Presentation
การนำเสนอของเกมนี้ ตามที่ได้กล่าวไว้ในส่วนของเนื้อเรื่องและเกมเพลย์ว่ามีความแหวกแนวไม่เหมือนเกมทั่วไปจึงทำให้ความแหวกแนวนั้นกลายเป็นเอกลักษณ์เด่นของเกมนี้ครับ อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบเหล่านี้จะออกมาให้น่าจดจำไม่ได้เลยหากการออกแบบตัวละครไม่สร้างสรรค์ควบคู่ไปกับส่วนอื่น ๆ ของเกม
ในส่วนของตัวละครของเกมนี้น่าจะจำได้ไม่ยากเพราะมีแค่ 4 คน นั่นก็คือ
- Sayori เพื่อนในวัยเด็กของตัวเอกที่ค่อนข้างจะสมองกลวง
- Yuri สาวขี้อายที่ชอบอ่านนิยายเป็นชีวิตจิตใจ
- Natsuki ซึนเดเระ + Weeb
- Monika หัวหน้าชมรมที่ดูมีความเพียบพร้อมไปซะทุกอย่าง
ลักษณะบุคลิกและนิสัยของตัวละครนั้นจะสามารถสังเกตได้ง่ายมาก เพราะหากใครเป็นผู้ที่ชอบเล่นเกมแนว Visual Novel หรือดูอนิเมะบ่อย ๆ จะสังเกตรูปแบบของสาว ๆ แนวนี้ได้จากหลายเกมหรืออนิเมะหลายเรื่องเลยครับ แต่นั่นก็คือสิ่งที่ทางทีมงานอยากให้ผู้เล่นมองพวกเขาเป็น First Impression ตามที่ตั้งใจให้ช่วงแรกของเกมนั้นดูเหมือนเป็นเกม Visual Novel, Dating Sim ธรรมดา เพราะเมื่อพ้นจากช่วงแรกของเกมไปแล้ว ผู้เล่นจะได้เรียนรู้ถึงส่วนลึกของสาว ๆ เหล่านี้ ทั้งในส่วนดี, ส่วนร้าย, และส่วนที่คาดไม่ถึง
อย่างไรก็ตาม จะมีตัวละครหนึ่งที่แน่นอนว่าหลังจากที่เล่นจบแล้วผู้เล่นจะจดจำได้อย่างแม่นเลยทีเดียว เนื่องจากมีความเสมือนจริงที่ไม่ต้องพึ่งกราฟิกระดับเกม AAA เพื่อทำให้ดูเหมือนคนจริง ๆ แต่ใช้การแสดงให้รู้ว่าตัวละครนั้นมีความรู้สึกเหมือนกับมนุษย์ และใช้ความสามารถที่เข้าถึงตัวผู้เล่นได้โดยตรงแทน คล้ายกับ Deadpool ในเวอร์ชันเกมที่จะพูดจากวนประสาทผู้เล่นอยู่ตลอดเวลา
หากเราลองสังเกตเกมอื่น ๆ ที่เคยเล่น ตัวละครในเกมส่วนใหญ่จะมีการสร้างความผูกพันกับเรา ซึ่งเราในที่นี้หมายถึงตัวเอกที่เราเล่น ‘ไม่ใช่ตัวของผู้เล่นเอง’ เพราะเกมส่วนใหญ่ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะนำผู้เล่นที่นั่งอยู่หน้าจอคอมเข้าไปเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องของตัวเกมอยู่แล้ว แต่เป็นการเขียนเนื้อเรื่องเพื่อเล่าให้กับผู้เล่นได้รับชมแทนตังหาก จึงทำให้การเล่าเรื่องด้วยทฤษฎี Break The 4TH Wall ที่สามารถนำผู้เล่นเข้าไปเกี่ยวโยงกับตัวละครได้นั้นถือเป็นจุดเด่นที่เยี่ยมที่สุดของ Doki Doki Literature Club เลยก็ว่าได้ครับ
ในส่วนของงานภาพกราฟิกนั้น จะออกแนวเหมือนกับเกม Visual Novel สไตล์อนิเมะน่ารักทั่วไป จากที่เล่นมาดูเหมือนว่าจะมีการใช้ Sprite เดิมจากภาคต้นฉบับเช่นเดียวกับฉาก CG ที่ถูกปรับให้คมชัดขึ้น เนื่องจากตัวเกมภาคนี้มีโหมด Side Story ที่เพิ่มมาใหม่ จึงได้มีการเพิ่มฉาก CG ใหม่เข้ามา พร้อมกับมีลายเส้นที่ดูแตกต่างกว่าฉาก CG ในภาคต้นฉบับเป็นอย่างมาก หากลองนำมาเทียบกันดู แน่นอนจะต้องคิดว่าทางทีมงานได้เปลี่ยนนักวาดใหม่หรือเปล่า? ซึ่งคำตอบก็คือไม่ เพราะทางทีม Team Salvato ยังให้ แซตเชลีย์ เวลินเควนตี (Satchely VelinquenT) นักวาดที่สร้างผลงานจากภาคต้นฉบับ ได้มามีส่วนร่วมในภาค Plus! นี้อยู่ครับ
ในส่วนของเพลงจะมีทั้งหมด 27 เพลง เป็นเพลงที่ไม่มีเนื้อร้องแต่เน้นเสียงดนตรีแทน ซึ่งจะถูกใช้ในฉากต่าง ๆ ของเกม โดยจะมีด้วยกัน 13 เพลงที่มาจากภาคต้นฉบับ แต่งโดย’แดน ซอลวาโต’ และอีก 13 เพลง(พร้อมกับเพลงลับอีก 1) เพิ่มเข้ามาพร้อมกับภาค Plus! และแต่งโดย นิกกี้ เคย์ลาร์ (Nikki Kaelar), เจสัน เฮสส์ (Jason Hayes), และ อซูเลีย สกาย (Azuria Sky)
เพลงส่วนใหญ่จะให้บรรยากาศเหมือนกับเป็นเพลง Background สำหรับฉากโรงเรียนในอนิเมะ พร้อมกับเสียงดนตรีที่จะสื่อให้รู้สึกถึงความน่ารักของเกม (โดยส่วนตัวแล้ว ผมเคยได้ลองเปิดฟังเล่น ๆ ดูตอนทำงานก็ทำให้รู้สึกเพลินและผ่อนคลายได้ดีพอสมควร เหมือนกับเวลาที่เราฟัง Lofi Radio บน Youtube แต่จะมีดนตรีที่ต่างกันออกไปครับ) อย่างไรก็ตาม จะมีประเภทของเพลงที่มีความเกี่ยวข้องกับตัวละคร หากให้ยกตัวอย่าง จะมีหนึ่งเพลงที่ตัวละครนั้นได้นำกลอนที่เขียนไว้มาทำเป็นเพลงอย่างตั้งใจ เพื่อร้องควบไปกับการเล่นเปียโนที่เธอถนัดให้ ‘ผู้เล่น’ ได้ฟังครับ
พูดถึงเพลงที่มีความเกี่ยวข้องกับตัวละคร อัลบั้มเพลงจากภาค Plus! ก็ได้เพิ่มเพลงประเภทนี้เข้ามาเช่นกัน หากเราได้เล่นและเข้าใจกับตัวละครจากทั้ง 2 โหมดเนื้อเรื่องแล้ว จะมีบางเพลงที่เห็นชื่อแล้วต้องนึกถึงตัวละครตัวหนึ่งในเกมอย่างแน่นอน และเมื่อเปิดฟังแล้วจะเข้าใจความหมายที่เพลงต้องการจะสื่อถึงตัวละครนั้นด้วยเสียงดนตรีที่ไม่มีเนื้อร้อง ยกตัวอย่างเช่น
- เพลง Dear Sunshine หากคุณได้เล่นทั้ง 2 โหมดมาแล้วจะเข้าใจว่าชื่อเพลงนั้นมาจากอะไร และสื่อความหมายถึงความรู้สึกของตัวละครตัวไหนจากเกมนี้
- เพลง My Song, Your Note หากได้เล่น Side Story แล้ว จะเข้าใจว่าจุดประสงค์ของเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นเพื่ออะไร หรือและส่วนอย่างไรในเนื้อเรื่อง
สรุปในส่วนของการนำเสนอ เพลงในเกมนี้นอกจากจะมีดนตรีที่ฟังแล้วรู้สึกเพลิน ส่วนตัวก็ชอบที่ทางทีมงานได้ใส่รายละเอียดของตัวละคร และความเกี่ยวข้องที่มีในเนื้อเรื่องเข้าไปในเพลงอีกด้วย
งานภาพกราฟิกมีการพัฒนาที่ดีขึ้นจากภาคต้นฉบับ แต่ส่วนที่เด่นที่สุดยังไงก็ต้องเป็นการออกแบบตัวละครที่สร้างชื่อให้กับเกมภาคต้นฉบับนั่นเองครับ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก Doki Doki Literature Club Plus! เป็นภาค Remastered หากไม่นับจุดเด่นที่มาจากภาคต้นฉบับส่วนไหนของภาค Plus! คือจุดขายสำหรับผู้เล่นเก่า? จะบอกว่า Side Story ก็ใช่ แต่คำตอบที่ตรงโจทย์กับความต้องการของผู้เล่นก็คงต้องเป็นเจ้า Virtual Machine ตามที่ได้กล่าวไว้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลักครับ เพราะแน่นอนว่าในช่วงที่ตัวเกมประกาศเปิดตัวภาค Plus! คำถามแรกที่ขึ้นในหัวผู้เล่นเก่าเป็นส่วนใหญ่ก็คือ “มันแตกต่างจากภาคต้นฉบับไหม และมีเนื้อเรื่องใหม่หรือเปล่า” ซึ่งคำตอบก็คือมีเนื้อเรื่องใหม่เข้ามาขยายเนื้อเรื่องเดิมครับ และ ̷̭̟̋̈́ ̸͖͇͑ ̷͕̳͘ṩ̶͎͑p̴͍̬̈̑͂ȯ̴̪i̶̹͂̓ḷ̸̑̉̕ͅȩ̴̀r̶̫̠͖̒͑̃ ̴̱͇̋ ̷̳̈́͝ ̴̩̪̒̈́
Verdict
สำหรับผู้เล่นเก่าที่เคยเล่นภาคต้นฉบับมาก่อน บอกได้ว่า Doki Doki Literature Club Plus! เป็นเกมภาค Remastered ที่สามารถตอบโจทย์พวกเขาได้อย่างดีเลยทีเดียว เพราะตัวเกมไม่ได้มีแค่เนื้อเรื่องเดิมที่ถูกปรับให้มีงานภาพที่ดีขึ้น แต่ยังมี Side Story กับการขยายเนื้อเรื่องหลักที่สามารถทำให้ผู้เล่นเก่าอยากกลับมาติดตามเกมนี้อีกครั้ง
ส่วนผู้เล่นใหม่ที่ไม่เคยเล่นภาคต้นฉบับมาก่อน หรือผู้เล่นที่ไม่เคยเล่นเกมแนว Visual Novel เลย ก็แนะนำให้ลองเล่นเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะอย่างที่ได้กล่าวไป เกมนี้จะมีองค์ประกอบการเล่าเรื่องและตัวละครที่ฉีกกฎจากเกมทั่วไป สามารถทำให้ผู้เล่นเซอร์ไพรส์และอยากติดตามกับสิ่งที่จะได้เจอระหว่างเล่นอยู่เรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นคนที่ไม่ชอบอ่าน Dialogue เยอะ อาจจะเบื่อได้ในช่วงแรก ๆ ที่ยังไม่ค่อยมีอะไรให้ได้ตื่นเต้นหรือระทึกกัน แต่ส่วนตัวคิดว่าสำหรับใครที่ชอบอ่านเนื้อเรื่อง หรือเป็นคนที่ชอบเล่นเกมแนว Visual Novel, Dating Sim อยู่แล้ว จะสามารถสนุกกับช่วงแรกได้สบายเลยครับ
เนื่องจากภาคต้นฉบับสามารถเล่นได้ฟรี หากถามว่าภาค Plus! ด้วยราคา 239 บาทนี้จะมีความคุ้มไหม? (ซึ่งราคานี้ค่อนข้างจะทำให้แปลกใจ เพราะในโซนประเทศอื่นจะมีราคาอยู่ที่ 15 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 500 บาท เท่ากับราคาของเวอร์ชันคอนโซล) ด้วยคอนเทนต์ที่ถูกเพิ่มเติมมา ไม่ว่าจะ Side Story ที่เล่นได้ยาวถึง 3-4 ชั่วโมง พร้อมกับส่วนขยายของเนื้อเรื่องที่สามารถจูงให้เล่นจนครบ 100% เพื่อปลดล็อกปริศนาต่าง ๆ ที่มีเฉพาะในภาค Plus!
ถึงตัวเกมภาคต้นฉบับจะฟรีก็ตาม แต่ด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่ฉีกกฎแบบนี้ ส่วนตัวแล้วมองว่าภาคต้นฉบับคุ้มเกินกว่าที่จะเป็นเกมฟรีซะอีกครับ หากเราชอบเกมนี้จริง ๆ การสนับสนุนทีมงานด้วยการซื้อภาค Remastered ก็ถือว่าเป็นการสนับสนุนที่แฟร์กับผู้เล่นอย่างหนึ่ง เพราะนอกจากทีมงานจะได้รับการสนับสนุนเพื่อสร้างเกมดี ๆ แบบนี้ให้เราได้เล่นต่อไปในอนาคตแล้ว ผู้เล่นยังได้ตัวเกมที่มีคอนเทนต์น่าสนใจที่ภาคต้นฉบับไม่มี ให้ได้เล่นกันยาว ๆ เป็นของตอบแทนอีกด้วย
ทั้งนี้ แน่นอนว่าถ้าตัวเกมสามารถทำให้เราตื่นเต้นและชอบได้ ด้วยราคา 239 บาท ยังไงก็ต้องบอกว่าคอนเทนต์ทั้งหมดที่ได้มานั้นคุ้มกับเงินที่จ่ายไปครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เล่นเก่า หรือผู้เล่นใหม่ก็ตาม Doki Doki Literature Club Plus! ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่ควรค่าแก่การได้ลองเล่นสักครั้งหนึ่งในชีวิตเลยก็ว่าได้ครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส