Our score
8.0The Ascent
จุดเด่น
- เกมเพลย์สนุกสะใจไม่ซ้ำใคร
- สร้างโลกสไตล์ไซเบอร์พังก์ออกมาได้ดีเกินคาด
- ภาพสวย เสียงดี เพลงมันส์
- เล่นคนเดียวก็ดี เล่นกับเพื่อนก็ฮา
จุดสังเกต
- UI ทั้งหลาย อันได้แก่ เมนูเกม ระบบเควสต์ และระบบนำทางดูงงมาก
- บั๊กเกมเกลื่อน
- เนื้อเรื่องธรรมดาและยังฝืนให้ดู “คูล” มากไป
- รูปแบบเควสต์ไม่หลากหลายและระดับความยากเหวี่ยงไปมา
ทศวรรษที่ 2020 เป็นดั่งการเปิดศักราชใหม่ให้กับเกมสไตล์ Cyberpunk ในแวดวงวิดีโอเกม เพราะเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ การจะหาเกมที่ใช้ฉากหลังเป็นโลกไซเบอร์แห่งอนาคตที่เสื่อมโทรมมาเล่นสักเกมยังเป็นเรื่องที่ยากมากอยู่เลย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะขุมพลังฮาร์ดแวร์ยังไม่ถึงขั้น แฟนเกมที่ชอบสไตล์นี้ยังมีน้อย หรือธีม Cyberpunk มันเอามาทำเป็นเกมดี ๆ ได้ยากก็ไม่รู้ แต่มาวันนี้กลับมีเกมสไตล์นี้โผล่มาให้เลือกเล่นเต็มไปหมด ทั้ง Shadowrun, Cloudpunk และพี่ใหญ่ (ที่ศพไม่ค่อยสวย) อย่าง Cyberpunk 2077
The Ascent ก็เป็นหนึ่งในน้องใหม่มาแรงที่ขอใช้ธีมนี้กับเค้าด้วย เพียงแต่ว่ามันไม่ได้เป็นเกม Cyberpunk ในรูปแบบเดียวกับเกมอื่น ๆ กลับจุติมาในสไตล์ของเกมแอ็กชันยิงแหลก (Twin Stick Shooter) กึ่ง RPG ที่ดูหยิบจับขึ้นมาเล่นได้ง่าย แต่ภายใต้ความคุ้นเคยนั้นกลับเต็มไปด้วยความแปลกใหม่มากมายที่แฝงอยู่ในระบบการเล่น ทำให้เกมนี้แทบไม่ซ้ำกับเกมแอ็กชันหรือเกม RPG ใด ๆ ในตลาดตอนนี้เลย แต่คำถามที่สำคัญกว่าคือมันแปลกแล้วเล่นสนุกแค่ไหน? เรามาแฮกคำตอบไปพร้อมกันเลยดีกว่า!
ยิงแหลกเอามันส์ไม่ซ้ำหน้าไหน
ถ้าจะอธิบายแบบบ้าน ๆ The Ascent ก็คือเกมแนวแอ็กชันสาดกระสุน ที่ให้ผู้เล่นใช้มุมมองตัวละครจากด้านบนนั่นแหละ เกมเมอร์จะได้ใช้จอยเกม (หรือคีย์บอร์ดกับเมาส์ก็ได้ ใช้ได้ดีไม่แพ้กัน) ควบคุมจิ๊กโก๋ไฮเทกบนดาว Veles ไล่เป่าศัตรูที่วิ่งเข้ามาหาเรื่องจากรอบทิศ คล้ายกับเล่นเกม Contra เวอร์ชัน 3D นั่นเอง แต่ต่างกันตรงที่เกมนี้จะให้ผู้เล่นหลบหลังที่กำบังและเลือกยิงสูงหรือยิงต่ำได้ด้วย เรื่องนี้อาจจะฟังดูเล็กน้อยแต่พอได้เล่นจริงแล้วมันทำให้ประสบการณ์ของการเล่น The Ascent ต่างจากเกมสาดกระสุนเกมอื่นไปเลย เพราะคราวนี้นอกจากคุณจะต้องคำนึงถึงตำแหน่งระหว่างตัวคุณกับศัตรู คุณยังต้องมองหาที่กำบัง สังเกตระดับความสูงต่ำของฉาก และพิจารณาความสูงของตัวร้ายในระหว่างการสาดกระสุนด้วย
นอกจากองค์ประกอบเรื่องความสูง The Ascent ยังแทรกองค์ประกอบของเกมแนว RPG เข้ามาด้วยการให้ผู้เล่นสามารถเลเวลอัปเพื่ออัปเกรดค่าสถิติของตัวละครได้ อย่างเช่น ค่าพลังชีวิต ค่าความแม่นยำในการยิง ค่าอัตราการเกิดคริติคอล เป็นต้น รวมทั้งยังมีไอเท็มอย่างเกราะ ปืน หรือท่าพิเศษให้เลือกชอปปิงมาใช้กันได้ตามขนบเกม RPG ซึ่งในช่วงแรก ปัจจัยพวกนี้อาจจะยังมีผลกับเกมการเล่นค่อนข้างน้อย (เนื่องด้วยเลเวลของเรายังกากเกิน ของดีก็ยังไม่ค่อยปลดล็อกออกมาให้ซื้อ) แต่พอเล่นไปนาน ๆ องค์ประกอบของความเป็น RPG ในเกมจะแทรกซึมเข้ามาจนมีบทบาทในการเล่นอย่างชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ช่วยเพิ่มความสนุกในการเล่นให้มากขึ้นไปอีก และยังทำให้ผู้เล่นได้สัมผัสประสบการณ์ลูกผสมระหว่างเกม Contra + Diablo + Gears of War แบบไม่ซ้ำใคร
เกมเพลย์เล่นสนุกแบบมีกึ๋น
นอกจากความแปลกใหม่ เกมเพลย์ของ The Ascent ยังเล่นสนุกและมีรายละเอียดซับซ้อนกว่าที่คิดจนถือเป็นจุดแข็งของเกมนี้ อีกทั้งเกมยังค่อนข้างท้าทายจนหลายครั้งรู้สึกเหมือนกำลังเล่นเกมแนว Contra หรือเกมตู้สไตล์ Bullet Hell มากกว่าเกมแนว RPG ซะอีก โดยศัตรูในเกมนี้ก็มีความหลากหลาย ทั้งในแง่ของการดีไซน์ตัวละครและวิธีการต่อสู้ มีทั้งแบบสูง เตี้ย ล่ำบึ้ก และยังรู้จักใช้ทั้งปืนผาหน้าไม้หรือกระบี่กระบอง (เลเซอร์) มาเล่นงานเราในระยะประชิด ส่วน AI ในเกมแม้จะไม่ได้ฉลาดเป็นกรดแต่ก็สามารถสู้ได้ไม่น่าเบื่อ พวกมันรู้จักก้มหัวหลบหลังที่กำบัง รู้จักวิ่งอ้อมมาตลบหลัง และบางทีก็จะใช้ท่าพิเศษมาป่วนเราจนต้องกลิ้งหลบไปมา แถมเกมยังมีน้ำจิ้มเป็นระบบสุ่มศัตรูให้เปลี่ยนนิด ๆ หน่อย ๆ ในการเล่นแต่ละครั้ง ช่วยแก้เบื่อเวลาเดินกลับมาในโซนซ้ำ ๆ บนแผนที่ได้ดีทีเดียว เสียอย่างเดียวคือเกมมีระดับความยากให้เล่นได้แค่แบบเดียวนี่แหละ
ส่วนเกมเมอร์ผู้ไม่ชอบความท้าทายมากเกินไปก็สามารถฟาร์มเลเวลตัวละครในเกมนี้ได้ การปั่นเลเวลให้สูงกว่าเลเวลของเควสต์ก็จะทำให้คุณเป่าศัตรูตายเร็วขึ้นประมาณหนึ่ง และยิ่งคุณอัปเลเวลไปไกลเท่าไหร่ ปืนและท่าพิเศษก็จะยิ่งมีให้เลือกใช้มากขึ้น รวมถึงค่าสถิติตัวละครก็จะยิ่งเยอะตามไปด้วย ซึ่งการปั้นตัวละครจะมีผลต่อการเล่นเป็นอย่างมากในช่วงกลางเกมเป็นต้นไป ทำให้คุณสามารถสร้างคลาสที่มีวิธีเล่นเฉพาะตัวได้หลากหลายแบบมาก อาจจะเป็นตัวละครสายสไนเปอร์คอยยิงศัตรูระยะไกลจากหลังที่กำบัง หรือจะเป็นสายลูกซองที่เน้นวิ่งเข้าไปเป่าศัตรูแบบเผาขนแล้วค่อยกลิ้งหนีออกมาก็ยังได้
โลกไซเบอร์พังก์สุดสวยสไตล์ 2.5D
อีกจุดที่ต้องชื่นชมก็คืองานสร้างโลก Cyberpunk ในเกมนี้ที่ทำออกมาได้ดีมาก ทั้งในแง่ภาพ เสียง และ LORE อธิบายเรื่องราวปูมหลังที่มีให้อ่านเป็นกระตั้ก ทั้งนี้ ภาพกราฟิกในเกมถือว่าสวยล้ำเกินเกมแนวนี้ไปแบบสุดขอบจักรวาลเลยทีเดียว สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า The Ascent คือหนึ่งในเกมที่เอาไว้อวดเทคโนโลยีแสงเงา Ray Tracing ได้ดีที่สุด ถ้าการ์ดจอของคุณเอาอยู่นะ… ความสวยงามของมันยิ่งได้รับการขับให้ดูเด่นกระแทกตาจากงานศิลป์ดูเท่ปนเฉิ่มตามสไตล์หนังไซไฟยุค 80s รวมทั้งองค์ประกอบฉากที่ดูรกไปหมดแต่ดันดูสวยซะงัั้น ฉากแบบ 2.5D ของเกมก็ได้รับการวางมุมภาพให้ดูมีความลึก มีความสูงต่ำหลายระดับ นอกจากนี้ ทีมพัฒนายังรู้จักเล่นมุมกล้องไปมาให้ผู้เล่นรู้สึกถึงความตื้นลึกของฉากได้ดีขึ้น เมื่อนำมาผสมกับเสียงปืนดังสนั่น เสียงเพลงแนวเทคโนแนวโยกหัว และเสียงนักพากษ์มืออาชีพ (เฉพาะตัวที่พูดภาษาคนนะ) ก็ยิ่งทำให้โลกใบนี้ดูจับต้องได้จริง
ยิงคนเดียวก็ท้าทาย ยิงหลายคนก็โหดมันส์ฮา
The Ascent ยังแปลกกว่าเกมแนวแอ็กชันที่มีโหมด co-op เกมอื่นตรงที่เราสามารถนั่งเล่นคนเดียวก็ได้ เล่นหลายคนก็ดี ซึ่งทั้งสองแบบก็จะให้ความสนุกต่างกันไป เวลาเราเล่นคนเดียวเราจะลุยมั่วซั่วไม่ได้ ต้องใช้กลยุทธ์ในการหาทางหนีทีไล่ หาที่กำบัง และเลือกปืนรวมถึงท่าพิเศษให้เข้ากับสไตล์ของตัวละครที่เราสร้างมามากที่สุด
แต่เมื่อใดที่คุณไปเล่นโหมดออนไลน์ co-op 2-4 คน มันจะผันตัวเป็นเกมช่วยกันยิงมั่วมันส์ทันที คุณและเพื่อนสามารถแบ่งงานในการยิงศัตรูที่วิ่งมาจากคนละด้านของแผนที่ได้ ที่สำคัญคือแต่ละคนจะสามารถปั้นตัวละครให้เก่งกันไปคนละแบบได้เลย นอกจากจะช่วยเสริมจุดแข็งจุดอ่อนให้กับตัวเพื่อนในทีม ยังช่วยให้คุณได้ประสบการณ์ในการเล่นที่หลากหลายขึ้นมาก
อารมณ์ในการเล่นคนเดียวและเล่นกับเพื่อนที่ค่อนข้างต่างกันอย่างสิ้นเชิงทำให้คุณควรจะเล่น The Ascent อย่างน้อย 2 รอบ รอบ 1 คือเล่นจนจบคนเดียวแบบใจเย็น เน้นอ่าน LORE กับเนื้อเรื่อง ส่วนรอบ 2 คือเล่นกับเพื่อนเอามันส์ เน้นยิงแหลกแบบเกม Bullet Hell ให้สาแก่ใจ จุดนี้ช่วยเพิ่มความคุ้มค่าให้กับเกมนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะกว่าคุณจะเล่นจบสักรอบก็ปาไป 15 ชั่วโมงแล้ว เล่นกับเพื่อนอีกรอบก็คงปาไป 30 ชั่วโมง แถมเกมยังมีโหมด Couch co-op มาให้เล่นหลายคนบนหน้าจอเดียวกันได้อีกต่างหาก เอาไว้ฆ่าเวลาตอนเพื่อนมาเยี่ยมห้องได้ดีนักแล
บั๊กโหดในโลกที่ห่างไกลจากคำว่าเพอร์เฟกต์
ถึงจะชมเปราะมายืดยาวขนาดนี้แต่ The Ascent ก็ยังมีจุดด่างพร้อยให้เห็นจำนวนไม่น้อย ไม่ต่างกับโลก Cyberpunk ที่เต็มไปด้วยปัญหามากมายที่ซ่อนอยู่ใต้แสงสีเปลือกนอกอันสวยงาม เรื่องแรกก็คือเกมนี้มีบั๊กเยอะพอสมควรเลย ทั้งบั๊กพื้นฐานอย่างตัวละครวาร์ปเข้าวาร์ปออกในฉาก บั๊กกราฟิกที่บางทีเฟรมเรตเกมก็ฝืดขึ้นมาบ้าง และบั๊กโหดชนิดที่ทำให้เราผ่านเกมไม่ได้ เพราะจู่ ๆ ศัตรูเป้าหมายที่เราต้องสู้ด้วยก็ไม่โผล่เข้ามาซะงั้น ร้ายที่สุดคือกำลังเป่าบอสแบบเข้าด้ายเข้าเข็มแล้วเกมก็ดับตัวเองออกไปที่หน้าจอเดสก์ท็อปใส่หน้าเลย โชคยังดีที่บั๊กโหดเลเวลนี้ไม่ได้เกิดให้เห็นบ่อยขนาดนั้นอะนะ
นอกจากเรื่องบั๊ก เรื่องที่ 2 ก็คือการออกแบบ User Interface (UI) ต่าง ๆ ในเกมนี้ก็ถือเป็นเรื่องขัดใจที่ทำให้เกมเมอร์เล่นลำบากกว่าที่ควรจะเป็น ไล่ตั้งแต่ระบบสอนเล่น (Tutorial) ที่อธิบายวิธีการเล่น และรายละเอียดการอัปเกรดตัวละครหรืออาวุธต่าง ๆ ได้ไม่เคลียร์เท่าไหร่ ทำให้ส่วนใหญ่ผู้เล่นต้องไปลองงมกันเองระหว่างเล่น นอกจากนี้มันยังเด้งข้อความการสอนเรื่องเดิมขึ้นมาซ้ำ ๆ ทั้งที่เป็นเรื่องที่ผู้เล่นเคยทำไปแล้ว (บอกมันทุกครั้งที่เดินเข้าร้านขายของว่าร้านนี้เอาไว้ซื้อเกราะได้นะ) ส่วนเมนูในเกมก็ดูรก ๆ ล้น ๆ เหมือนกับเกม RPG ยุค 90 ในขณะที่ระบบนำทาง (Waypoint) ในเกมก็พึ่งพาไม่ค่อยได้ เนื่องจากบางทีเกมก็ไม่บอกว่าเรายังเดินเข้าไปเคลียร์งานในพื้นที่โซนนั้นไม่ได้เพราะต้องรอให้ทางเปิดตามเนื้อเรื่องก่อน ซึ่งปัญหาพวกนี้แม้จะเป็นเรื่องจุกจิกแต่เจอบ่อย ๆ ก็ทำให้เสียอารมณ์จนน่าตัดคะแนนเหมือนกัน
ส่วนปัญหาเรื่องที่สามก็คืออย่าหวังอะไรมากกับเนื้อเรื่องของ The Asccent ดีกว่าครับ มันไม่ได้มีเส้นเรื่องที่แย่แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นจนน่าจดจำอะไร บทสนทนาของตัวละครหลักส่วนใหญ่ก็งง ๆ เพราะใช้ศัพท์แสงประหลาด ๆ เต็มไปหมด เหมือนทีมเขียนบทพยายามทำให้ดูล้ำแต่มันดันดูฝืนแทน ซ้ำร้ายยังทำให้อ่านไม่รู้เรื่องด้วย นอกจากนี้ทั้งเควสต์หลักและเควสต์เสริมในเกมก็ไม่ได้มีความหลากหลายสักเท่าไหร่ มีแต่ให้ไปเป่าคนนี้ ไปเก็บของตรงนู้น เป็นแค่ข้ออ้างให้คุณเดินไปยิงศัตรูให้ครบทั่วทั้งแผนที่ก็แค่นั้น และบางทีก็มีปัญหาเรื่องที่ระดับความยากของเควสต์เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาจนคาดเดาไม่ได้ หากเจอสถานการณ์แบบนั้น ผู้เล่นก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากสู้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะผ่านให้ได้เอง
หนทางการก้าวสู่จุดสูงสุดอย่างถูกที่ถูกทาง
ถึง The Ascent จะยังไม่เข้าขั้นเกมแอ็กชัน RPG ระดับขึ้นหิ้ง แต่มันก็ยังสามารถมอบประสบการณ์ที่สนุก มัน และยังพกเกมเพลย์สไตล์ลูกผสมที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใครมาให้ลิ้มลองด้วย เมื่อนำมาเทียบกับราคาค่าตัวแค่ 800 กว่าบาทใน Steam หรือค่าสมัคร Xbox Game Pass 450 บาทนี่แนะนำให้กดมาเล่นแบบไม่ต้องคิดมากได้เลย เพราะซื้อมาเดินเล่นดูฉากสวย ๆ อย่างเดียวก็คุ้มแล้ว และถึงแม้เกมจะยังมีปัญหาจุกจิกกวนใจพ่วงมาด้วย แต่ก็สามารถพูดได้เลยว่าตลอดเวลาที่เล่นเกมนี้ไม่มีตอนไหนที่รู้สึกเบื่อเลย จุดนี้เป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทีมพัฒนาเกม Neon Giant ทั้ง 12 คนกำลังเดินมาถูกทางแล้ว ไม่แน่ว่าเกมต่อไปของพวกเขาอาจจะสามารถก้าวไปถึงจุดสูงสุดของเกมสไตล์ Cyberpunk ก็ได้นะ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส