Our score
9.0Ni no Kuni II Revenant Kingdom Princes Edition
จุดเด่น
- รูปแบบการเล่นแบบ RPG ที่ผสมของเก่ากับใหม่ได้ลงตัว
- มีคัว DLC มาครบไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม
- งานออกแบบและตัวละครที่มีเสน่ห์
จุดสังเกต
- กราฟิกบน Switch ด้อยกว่าเวอร์ชันอื่น
- ไม่มีอะไรใหม่เป็นเกมเดิมแค่เพิ่ม DLC
แม้ว่าคอนโซลลูกผสมอย่าง Nintendo Switch จะประสบความสำเร็จ แต่ก็มีจุดด้อยที่เกมค่ายอื่นออกช้ากว่าเวอร์ชันอื่น ทำให้แฟนปู่นินกว่าจะได้สัมผัสเกมดี ๆ ก็ต้องรอกันข้ามปี อาจจะเป็นเพราะสเปกที่ด้อยกว่า ทำให้การสร้างเกมดี ๆ ต้องใช้เวลาในการสร้างมากกว่าบนคอนโซลเครื่องอื่น อันนี้แฟนนินเทนโดก็ต้องทำใจมาตลอด และล่าสุดค่าย Bandai Namco ได้เปิดตัว เกม Ni no Kuni II Revenant Kingdom ที่ต่อท้ายด้วยชื่อ Princes Edition ออกบน Switch เสียทีหลังจากปล่อยให้แฟนรอกันนาน
โดยเกม Ni no Kuni II Revenant Kingdom วางขายครั้งแรกบน PS4 , Xboxone และ PC ในปี 2018 ซึ่งถือเป็นภาคต่อของซีรีส์ Ni no Kuni เกม RPG ฟอร์มยักษ์ที่เคยสร้างความฮือฮาตอนออกภาคแรกอย่างมาก เพราะมันเป็นการสร้างเกมของสตูดิโอการ์ตูนในตำนานอย่าง จิบลิ กับค่าย Level 5 และมีการใส่ลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ของจิบลิ บวกกับเรื่องราวที่น่าประทับใจและรูปแบบการเล่นแบบ RPG ที่พัฒนาโดยค่ายที่เคยอยู่เบื้องหลังการสร้าง Dragon Quest 8 มาทำให้ไม่แปลกที่มันจะประสบความสำเร็จจนมีการสร้างภาคต่อ และในที่สุดก็ได้ออกบน Switch ในปี 2021 เรียกว่ารอกันจนเบื่อเลย
กราฟิกบน Switch ดูดีแต่อย่าเอาไปเทียบกับเครื่องอื่น
ภาพใน Ni no Kuni II ฉบับวางขายอีกรอบบน Nintendo Switch ถือว่าดูด้อยกว่าตามสเปกของเครื่องที่ไม่ได้แรงมากมาย โดยงานออกแบบมาแนวลายเส้นการ์ตูนจากค่ายจิบลิ ที่แทบจะถอดแบบกันมาเลย มีการใช้กราฟิกแบบเซลเฉดคุณภาพสูงที่ลงตัวมาก ทำให้การย้ายมาลง Switch ทำได้ไม่ยากเพราะมีหลายเกมใช้รูปแบบนี้มาแล้วหลายเกม และสำหรับ Ni no Kuni II ถือว่าดีกว่าเกมอื่นมาก อย่างไรก็ตามหากเอาไปเทียบกับเครื่องอื่นแล้วบน Switch ดูด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดเพราะความละเอียดที่ต่ำกว่า และยังมีเฟรมเรตที่ไม่ได้ลื่นไหลเท่าที่ควร พบอาการภาพกระตุกตลอดการเล่นแต่โดยรวมไม่ได้เลวร้ายอะไร
ส่วนดนตรีและเสียงประกอบของ Ni no Kuni II ยังถือว่าเป็นข้อดีอยู่เช่นเดิม เพราะยังได้นักแต่งเพลงในตำนานของวงการภาพยนตร์อย่างคุณ Joe Hisaishi ที่ทำงานกับสตูดิโอจิบลิมาตลอด มาทำเพลงให้เกมซึ่งก็ทำมาตั้งแต่ภาคแรกแล้ว ทำให้คุณภาพของดนตรีประกอบสูงมาก เพราะมีทั้งความอลังการงานสร้างและไพเราะติดหูตลอดการเล่น ที่มีเพลงธีนประจำเกมที่เราคุ้นเคยกันดีด้วย ส่วนเสียงพากย์ก็มีคุณภาพดี มีการลงทุนจ้างมืออาชีพมาให้เสียง ทำให้เหมือนกับการเล่นเกมไปพร้อมได้ดูการ์ตูนจิบลิเหมือนเดิม แม้ว่าจะไม่ได้มีเสียงพากย์ทุกจุดในเกมก็ตาม
ส่วนเสริมเพิ่มเติมคุ้มหรือไม่
ก่อนจะเข้าส่วนของเกมเพลย์ก็ขอบอกส่วนเสริมที่เพิ่มเติมเข้ามาก่อน โดยในเวอร์ชัน Nintendo Switch จะรวบรวมเอาตัวดาวน์โหลดเสริมแบบเสียเงินเข้ามาในชุดเลยไม่ต้องเสียเงินโหลดเพิ่ม แต่ใครมีบน PS4 , Xboxone และ PC สามารถเสียเงินซื้อเพิ่มเองได้ โดยเนื้อเรื่องเสริมจะมีมาทั้ง The Lair of the Lost Lord โดยเราจะได้ผจญภัยไปในเขาวงกต Rubbly Ruins ที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยอันตรายเพื่อหยุดยั่ง Prince of Wraith และนำความสงบสุขคืนมาอีกครั้ง โดยในดันเจี้ยนจะเต็มไปด้วยมอนสเตอร์มากมาย ทั้งตัวเล็กต้วใหญ่และยังมีหลายชั้นให้สำรวจด้วย
อีกส่วนดาวน์โหลดเสริม DLC ที่น่าสนใจคือ The Tale of a Timeless Tome ที่เราจะได้พบกับความลับใหม่เกี่ยวกับกระต่ายที่สวมใส่ชุดทักซิโด้ที่ดูลึกลับ ที่อยู่ในความฝันและเราจะได้พบกับความจริงที่ไม่น่าเชื่อ ที่จะเชื่อมโยงเรื่องราวทุกอย่างไว้ด้วยกัน โดบเกมเพลย์ในส่วน DLC จะเหมือนเดิม และจะมีความยาวพอสมควรรวมทั้งยังมีอาวุธ เครื่องป้องกันรวมทั้งไอเทมใหม่อีกมากกว่า 80 ชนิดมาให้ใช้อีก ถือว่าบน Nintendo Switch ไม่ต้องเสียเงินซื้อเพิ่มก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่ แต่หากมีเวอร์ชันอื่นอยู่แล้วแนะนำให้ไปเสียเงินซื้อ DLC น่าจะดีกว่า
รูปแบบการเล่นเหมือนเดิมแต่สนุกไม่เปลี่ยน
Ni no Kuni II เป็นการสานต่อความสำเร็จจากภาคแรก ที่ออกยุค PS3 และมีเวอร์ชัน NDS ด้วย โดยภาคแรกจะเป็นแนว RPG ที่มีการใส่คำสั่งเพื่อโจมตี แต่มาภาคต่อมีการปรับเปลี่ยนให้เป็นแอ็กชันมากขึ้น ผู้เล่นสามารถเดินไปโจมตีได้เลย แถมยังมีท่าโจมตีแบบหนักและเบาที่สามารถต่อคอมโบได้ราวกับเป็นเกมแอ็กชันไปแล้ว และยังมีการเรียกใช้ท่าไม้ตายโดยการกดปุ่มที่เรียบง่าย โดยผู้เล่นจะบังคับตัวละครได้ทีละ 1 ตัวเท่านั้นที่เหลือจะเป็นระบบ A.I. ซึ่งถือว่าเป็นแนวทางที่เกมแนว RPG ยุคใหม่ใช้กันทำให้มันไม่ดูเชย
โดยในฉากดันเจี้ยนจะเหมือนการเล่นเกมแอ็กชันมากเพราะจะเดินไปโจมตีศัตรูที่เห็นเป็นตัวในฉาก แต่บนแผนที่หลักจะมีการผสมผสานหลายส่วน อย่างแรกคือตัวละครทั้งหมดจะถูกย่อให้เล็กจิ๋วแบบ SD แล้วยังมีการตัดเข้าฉากต่อสู้ แต่ตอนสู้กับศัตรูจะเหมือนกับฉากในดันเจี้ยนไม่เปลี่ยน ส่วนระบบอาวุธก็เรียบง่าย รวมทั้งการพัฒนาตัวละครที่ใช้การเก็บเลเวล เพื่อเพิ่มค่าพลังและอัปเกรดท่าไม้ตายใหม่ ๆ ถือว่าเป็นการผสมผสานของเดิมและของใหม่ให้เข้ากันได้อย่างลงตัว แต่สำหรับคอเกมที่ไม่ถนัดแนวแอ็กชันผู้สร้างก็มีระดับความยากให้เลือก ซึ่งส่วนตัวแล้วหากฝึกฝนกันสักนิดมันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ยกเว้นบอสบางตัวที่ต้องใช้ฝีมือกันสักหน่อย
ส่วนอีกความโดดเด่นของเกมคือระบบ Higgledies ผู้ช่วยที่เป็นภูติตัวเล็กจิ๋วหลากสีที่จะมาทั้งช่วยในการต่อสู้ที่ทั้งการโจมตีศัตรูด้วยพลังธาตุที่หลากหลาย หรือจะสั่งให้เติมพลังก็ได้ และยังสามารถปรับตั้งค่าได้ตามใจผู้เล่นด้วย นอกจากนี้มันยังสามารถช่วยให้เราเดินทางไปในจุดที่ไปไม่ได้ด้วย เช่นตัว Higgledies สีเขียวธาตุลมจะทำให้เราลอยตัวในจุดที่กำหนดได้ แน่นอนว่าการปรับแต่งทัพจำเป็นอย่างมาก เพราะอย่างที่บอกว่ามันเป็นแอ็กชันแบบจัดเต็มดังนั้นเราจะไม่มีเวลาคิดมากมายนักเวลาต่อสู้ ทำให้การปรับแต่ง Higgledies จึงจำเป็นอย่างมาก เพราะมันจะช่วยตอนเรากำลังวุ่นวายกับการต่อสู้กับศัตรูอยู่
ส่วนอีกของเดิมที่ยังคงอยู่คือระบบก่อร่างสร้างเมืองที่เปิดให้เราสร้างอาณาจักรได้เอง ด้วยระบบที่เข้าใจง่ายเหมือนกับเกมสร้างเมืองในตำนานอย่าง SimCity โดยผู้เล่นจะเลือกวางแผนการสร้างได้ตามใจ และยังสามารถกำหนดได้ว่าจะวางสถานที่สำคัญหรือร้านค้าไว้ที่จุดไหนของเมืองได้ตามใจ ที่แม้ว่ามันจะเหมือนจะเป็นส่วนเสริมแต่มีความสำคัญที่ผู้เล่นจะมองข้ามไม่ได้เลย เพราะเมื่อสร้างเมืองได้ใหญ่พอจะได้รับรางวัลเป็นเงินเอาไว้ซื้อของในเกม รวมทั้งยังสามารถใช้งานประชากรที่มีคุณภาพมาร่วมทีมได้ด้วย
แม้ว่าโดยรวมแล้วการกลับมาอีกครั้งของ Ni no Kuni II Revenant Kingdom Princes Edition บน Nintendo Switch จะไม่ได้แตกต่างจากภาคต้นฉบับบนเครื่องอื่น แถมกราฟิกและเฟรมเรตก็ด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่หากคุณไม่เคยเล่นบนเครื่องเกมอื่นมาก่อน ก็ถือว่ามันเป็นหนึ่งในเกม RPG ที่ไม่ควรพลาด เพราะมีทั้งรูปแบบการเล่นเดิม ๆ มาผสมผสานกับแนวทางใหม่ที่เน้นแอ็กชันได้ลงตัวมาก และส่วนตัวชอบมากกว่า Dragon Quest 11 เสียอีก ใครมี Switch แล้วอยากหาเกม RPG ดี ๆ ไว้ติดเครื่อง Ni no Kuni II Revenant Kingdom Princes Edition เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามไป
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส