Our score
8.9รีวิว The Dark Picture Anthology: House of Ashes มันส์ ดิบ ขนลุก แทบทุกอารมณ์
จุดเด่น
- การเล่าเนื้อเรื่องสนุกมาก ทำให้ภาคนี้มีเนื้อเรื่องที่สนุกที่สุดใน 3 ภาค
- ระบบ CO-OP / Movie Night ทำให้เกมนี้เป็นที่รักของกลุ่มรัก Part Game ได้ไม่ยาก
- กราฟิกสวยสมยุค Facial Motion ทำได้ดี
- เล่นซ้ำได้หลายครั้งเหมือนดูหนังที่เปลี่ยนผู้กำกับทุกครั้งที่ดู เนื้อหาเยอะมากพอ
จุดสังเกต
- บางช่วงก็เป็นเส้นตรงจนเกินไป จนลืมไปว่านี่เป็นเกมแนวไหนกันแน่
- ระบบที่ซัพพอร์ตการเล่น อย่างเช่น QTE ซ้ำซาก ตายตัวเกินไป
- กั๊กเรื่อง Friend Pass อีกเช่นเคย
-
เกมเพลย์ และระบบ
7.5
-
เนื้อเรื่อง
9.5
-
การนำเสนอ
9.5
-
กราฟิก และประสิทธิภาพการรัน
9.0
-
เนื้อหา
9.0
The Dark Picture Anthology เกมแฟรนไชส์สยองจากผู้สร้าง Until Dawn ที่มีเอกลักษณ์ในการนำเอาหลักการ Butterfly Effects หรือทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีก สะเทือนถึงดวงจันทร์มาใช้ กับการเลือกการกระทำ และคำพูดให้กับตัวละคร เสมือนนั่งดูภาพยนตร์แบบ Interactive ซึ่งเป็นเกมชุดที่มีด้วยกันทั้งหมด 4 ตอน และในปัจจุบันก็ดำเนินมาถึงตอนที่ 3 แล้วในชื่อว่า House of Ashes
เกมเพลย์ และระบบ
เกมเพลย์ยังคงความเป็น The Dark Picture Anthology อยู่เหมือนเดิม ใช้ Engine เดิม ระบบ Quick Time Event อะไรต่าง ๆ เหมือนเดิม และยังให้ผู้เล่นสำรวจตามพื้นที่ต่าง ๆ อยู่เช่นเดิม ยังเป็นเกมที่ยิ่งสำรวจยิ่งพบเจอข้อมูล และเส้นทางในการเล่นซึ่งผมคิดว่ามันเป็นเสน่ห์ของเกมนี้มากที่สุดแล้ว กับการแสวงหานั่นนี่ในตัวเกมไปเรื่อย ยิ่งอินยิ่งสนุก ยิ่งได้พบเจออะไรที่ซ่อนไว้
ภาคนี้ไม่มีระบบอะไรใหม่ ๆ เลย แอบเสียดายที่ตัวเกมอย่างน้อยน่าจะทำระบบพิเศษประจำภาคเพิ่ม หรือเพิ่มระบบอะไรใหม่ ๆ เข้ามาสักหน่อย ทุกอย่างยังเหมือนเดิมจากภาคก่อน ทำให้ในส่วนของระบบ ต้องพูดว่าซ้ำซากแล้ว
ในส่วนของระบบ CO-OP ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ หากเล่นแบบ CO-OP เปิดมาก็จะหยิบตัวละครให้ผู้เล่นเลยทันที ไม่สามารถเลือกได้ ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะเนื้อหาบางส่วนจะต้องเล่นแยกกันคนละในสถานการณ์นั่นเอง ซึ่งก็ยังเป็นเกมที่คิดว่ามีจุดเด่นในเรื่่อง CO-OP อีกเช่นเดิม ทำให้ตัวเกมสนุกกว่าการนั่งเล่นคนเดียวอย่างมาก
**ภาคนี้ยังไม่ยอมใส่ระบบ Friend Pass ที่เอาไว้ชวนคนที่ไม่มีเกมมาเล่นด้วยกันในตอนแรกเหมือนเดิม (ระบบนี้จะเปิดให้ชวนเพื่อนที่ไม่มีเกม ให้เพื่อนโหลดตัวเกมมาเล่นด้วยกันได้เลย)
เนื้อเรื่อง
“เนื้อเรื่องที่ดีที่สุดใน The Dark Picture Anthology ในตอนนี้” หลังจากผ่านมา 3 ภาค ผมว่าภาคนี้นี้แหละที่มีเนื้อเรื่องสนุกมากที่สุด ถึงแม้ว่าเนื้อหามันจะไม่ได้ดูแปลกใหม่สักเท่าไหร่ แต่การเล่าเรื่องการนำเสนอนั้นทำได้สนุก เนื้อเรื่องไม่เรียบ ไม่ตรงเกินไป และแน่นอนว่ายังคงความเป็น The Dark Picture Anthology มีความ Plot Twist แบบสุดโต่งอีกเหมือนเดิม
(ไม่สปอยล์) เนื้อเรื่องเปิดมาในปี 2003 ด้วยกลุ่มทหารหน่วยรบพิเศษของอเมริกาที่ยังอยู่ระหว่างการสู้รบการอิรักนั้นได้รับรายงานถึงคลังเก็บอาวุธใต้ดิบในพื้นที่แห่งหนึ่งในประเทศอิรัก ทำให้พวกเขาต้องเข้าไปตรวจสอบพื้นที่เหล่านั้น แต่หารู้ไม่ว่าเขาจะได้เจอกับความมืดมืดที่คลืบคลานอยู่ใต้ดินมานานไม่รู้กี่ปีข้างใต้นั้น….
“ศัตรูของศัตรู ก็คือเพื่อน”
การนำเสนอ
สิ่งที่ทำให้ภาคนี้เป็นภาคที่สนุกที่สุดก็เป็นการเล่าเรื่องหรือส่วนของการนำเสนอของเนื้อเรื่อง ทำออกมาได้คิดว่าดูหนังโรงน้ำดีอยู่เรื่องหนึ่งเลย ถึงแม้ว่าเนื้อหาช่วงแรกจะออกแนว Action ดิบ ๆ แต่พอเข้าสู่เนื้อหาองค์หลักแล้ว ความ Horror นั้นมาแบบจัดเต็ม แถมการเล่าเนื้อเรื่องในภาคนี้เหมือนการปีนเขา ค่อย ๆ เผยรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ผู้เล่น จนไฮป์สุดในตอนจบ
ในส่วนของความละเอียดของทางเลือกในเกม ก็ค่อนข้างมีทาง หรือ route ที่จะนำไปสู่เหตุการณ์เยอะเหมือนกัน แต่ในบางส่วนที่ควรจะมีตัวเลือกให้เลือก หรือให้สนทนา หรือ QTE ให้ทำ กลับไม่มีซะงั้น กลายเป็นว่าบางช่วงเหมือนนั่งดูหนังเฉย ๆ เป็นระยะเวลาสัก 10 นาทีได้
กราฟิก และประสิทธิภาพการรัน
Facial Motion ยังเป็นจุดเด่นของเกมเกมนี้ การนั่งมองหน้าตัวละครก็ทำให้รู้สึกคุ้มเงินเกมนี้แล้ว (หากซื้อบน PC) เนื่องจากตัวเกมใช้ระบบ Motion Capture มาใช้ จึงทำให้การแสดงสีหน้าของตัวละครทำออกมาดีมาก ๆ ส่วนในเรื่องของงานกราฟิก ไม่ต้องถามถึง ทำออกมาดีมาก ๆ สมกับเป็นเกมในยุค Next Gen ถึงแม้ภาคแรกจะออกมา 3 ปีแล้ว
ภาคนี้ผมเล่นบน Steam ด้วย AMD Ryzen 5 5600X กับ NVIDIA GeForce GTX 1070 และ Ram 16GB 3200 สามารถปรับภาพแบบ Medium – High ได้ ที่ความละเอียด 2K มอนิเตอร์ Ultrawide โดยที่เฟรมเรตยังนิ่งมาก ถือว่าทำการบ้านในเรื่องประสิทธิภาพมาดีเอาซะมาก ๆ
เนื้อหา
The House of Ashes รู้สึกว่าเป็นภาคที่เล่นซ้ำได้ 3-4 รอบก็ยังไม่เบื่อ หากมีเเพื่อนเล่นด้วย และเล่นแบบแตกต่างกันออกไป เช่น รอบแรกเล่น Solo, รอบสองเล่น CO-OP และรอบสามเล่น Movie Night แบ่งกันเล่นไปรอบละโหมดแบบนี้จะทำให้เราได้เจอกับเนื้อหาทั้งหมดอย่างครบครันที่สุด ซึ่งจากการเล่น CO-OP แล้วมาเล่น Movie Night ในรอบที่ 2 ก็ทำให้เราได้เห็นเนื้อหาบางส่วนที่ซ่อนอยู่ในรอบแรกเยอะเหมือนกัน รวมถึงได้เล่นในมุมมองอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย ทำให้ภาคนี้เรียกได้ว่าคุ้มมากสำหรับเรื่องเนื้อหา เรียกได้ว่ามีความ replayable สูงอยู่พอตัว เหมือนนั่งดูหนังที่เปลี่ยนผู้กับกำทุกครั้ง
โดยรวม
The Dark Picture Anthology: House of Ashes ตัวเกมในตอนที่ 3 ในซีรีส์ กลับมาคราวนี้ถือว่าทำได้ดีกว่าเดิมใน Little Hope และมีการนำเสนอ การเล่าเรื่องที่สนุกที่สุดใน 3 ตอนที่ผ่านมา แถมยังมีความ replayable และความละเอียดของเนื้อหาเยอะพอให้กับไปเล่นซ้ำ ๆ ได้อีก ถือว่าเป็นหนึ่งเกมที่น่าหยิบมาเล่นในช่วงวันฮาโลวีนนี้พอเหมาะพอดีครับ “Spooky Month!”
The Dark Picture Anthology: House of Ashes วางจำหน่ายแล้ววันนี้บน PlayStation, Steam และ Xbox
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส