Our score
8.0The Wild at Heart
จุดเด่น
- รูปแบบการเล่นผสมผสานหลายแนวได้ลงตัว
- มีึความซับซ้อนและมีอะไรให้ทำมากมาย
จุดสังเกต
- ระบบการต่อสู้บางจุดดูธรรมดาไปหน่อย
- ฉากดูรกทำให้การแก้ปริศนาบางจุดดูยากไปนิด
หนึ่งในแนวทางการสร้างเกมของค่ายอินดี้คือการนำแนวทางของค่ายใหญ่หลาย ๆ แนวมาสร้างเป็นเกมที่มีแนวทางเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งมันก็สร้างไม่ยากมากเพราะมีต้นแบบอยู่แล้ว และหากทำออกมาได้ดีก็จะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก ล่าสุดมีการเปิดตัวเกม The Wild at Heart จากค่าย Moonlight Kids ออกบน คอนโซลอย่าง Nintendo Switch , PS4 , XBoxone และ PC ด้วย
โดย The Wild at Heart จะเป็นการผสมผสานของเกมหลากหลายแนว ที่น่าจะอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ น่าจะมาจากเกมดังของปู่นินที่ขนมาทั้ง Pikmin ฉบับรวมร่างกับ The Legend of Zelda และ Luigi Mansion มายำรวมกันในรูปแบบ 2 มิติมุมมองด้านบน ที่แสนเรียบง่ายตามแนวทางเกมจากค่ายอินดี้ที่มีทุนสร้างไม่มาก ซึ่งในตอนแรกหากมองแค่ตัวอย่างมันอาจจะไม่ค่อยน่าสนใจนักหากไม่ใช่แฟนค่าย Nintendo แต่พอได้เล่นถือว่าทำได้ดีกว่าที่คาดหวังไว้มาก
กราฟิก 2 มิติที่เรียบง่ายแต่ดูดี
ภาพใน The Wild at Heart นำเสนอในรูปแบบ 2 มิติที่แบนเรียบ ตัวละครและฉากในเกมจะแบนเหมือนกระดาษตัดแปะที่ดูเรียบง่าย เหมือนภาพนิทานสำหรับเด็ก แต่กลับดูดีอย่างไม่น่าเชื่อเพราะมันมาพร้อมกับงานออกแบบที่สุดแนวเหมือนหนังสือสำหรับเด็กโตของตะวันตกที่มีทั้งความน่ารักและชวนหลอนไปพร้อมกัน เพราะเรื่องราวในเกมออกจะดูมืดมนพอสมควรแต่ก็ถือว่าเป็นการผสมผสานกันได้อย่างลงตัวแบบแปลกประหลาดและดูดีเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
ส่วนเพลงประกอบก็เหมือนว่าผู้สร้างกราฟิกได้คุยกับคนแต่งเพลงมาอย่างดี เพราะมันเข้ากันได้อย่างลงตัวมาก เพราะมีทั้งเพลงธีมที่ดูสวยงามน่ารักเมื่อตัวละครทำสิ่งที่สนุกสนาน หรือเปลี่ยนเป็นเพลงที่ดูน่าค้นหาเวลาเราเข้าสู่โหมดที่ต้องแก้ปริศนา รวมทั้งยังมีดนตรีที่เร้าใจเมื่อต่อสู้กับสัตว์ร้าย และยังใส่เสียงที่ชวนหลอนเวลาเราไปผจญภัยในส่วนที่น่ากลัวด้วย เรียกว่ามีทุกรสชาติแต่เสียดายเล็กน้อยที่มันไม่ได้มีเพลงธีมติดหูเหมือนเกมดัง ๆ แต่โดยรวมแล้วถือว่าดูดีเมื่อเทียบกับฟอร์มของเกม
รูปแบบการเล่นหลากหลายสนุกเข้าใจง่าย
เกมเพลย์ The Wild at Heart อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นบทความว่ามันคือการนำรวมรูปแบบการเล่นของ 3 ตำนานอย่าง Zelda , Pikmin และ Luigi Mansion ที่เรื่องราวจะเกิดในโลกแฟนตาซีที่เต็มไปด้วยผืนป่าที่ดูลึกลับและสวยงาม ผ่านเกมเพลย์แบบ 2 มิติมุมมองด้านบนที่เข้าใจง่าย เราจะได้รับบทเป็นเด็กน้อย 2 คนทั้ง Wake และ Kirby ที่ต้องร่วมมือกันผจญภัยในป่าใหญ่ เราสามารถบังคับตัวละครหลักแบบเกมแอ็กชัน และจุดเด่นแรกคือเราสามารถเรียกใช้งานเหล่าสัตว์วิเศษตัวเล็กจิ๋วที่ซ่อนอยู่ในฉากได้ ทำให้เกมเพลย์ส่วนนี้มีความคล้ายกับ Pikmin แบบตั้งใจ เพราะตัวเอกจะมีกองทัพสัตว์ตัวจิ๋วเดินตามเราเป็นกองทัพตลอดการเล่น
นอกจากนี้ยังมีสัตว์เทพตัวจิ๋วหลายประเภทให้เลือกใช้งาน ที่แต่งละตัวจะมีความสามารถเฉพาะที่แตกต่างแบ่งตามธาตุเช่นตัวที่มีพลังไฟจะมีความทนทานกับฉากที่มีลาวาอันร้อนแรงอยู่ในฉาก หรือตัวที่เป็นธาตุน้ำก็จะใช้ในดินแดนน้ำแข็ง และผู้เล่นต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับฉากด้วย ส่วนการปลดล็อกสัตว์วิเศษก็จะใช้การเก็บค่าพลังจากผลไม้เทพที่อยู่ในฉาก หรือจะมีบางตัวเดินหลงอยู่ในฉาก ที่เราจะสามารถรวบรวมได้เป็นกองทัพ แต่มันจะตายได้แต่ก็จะสามารถเรียกออกมาใหม่ตามจุดที่กำหนดในฉาก
เกมเพลย์สนุกซับซ้อน
ส่วนความโดดเด่นที่ทำให้สนุกคือรูปแบบการเล่นที่ผู้สร้างทำออกมาได้ดีงามเกินคาด เพราะนอกจากฉากจะเต็มไปด้วยความซับซ้อนและยังมีการแก้ปริศนาเพื่อเปิดทางไปต่อที่ทำได้ใกล้เคียงกับเกมระดับตำนานอย่าง Zelda อยู่หลายจุด และยังมีตัวละครที่เป็นมนุษย์ที่เราบังคับได้ถึง 2 ตัวละคร ที่ผู้เล่นสามารถสลับกันเล่นได้ และมีบางจุดต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวเพื่อผ่านทางไปเช่นเด็กน้อย Kirby ที่ตัวเล็กจะมุดเข้าไปในรูขนาดเล็กได้แต่ Wake จะทำไม่ได้ และเรายังสามารถโดยสัตว์วิเศษแบ่งให้เพื่อนไปต่อสู้หรือแก้ปริศนาได้ จุดนี้ถือว่าทำให้ The Wild at Heart ค่อนข้างโดนเด่นเกินหน้าเกินตาเกมจากค่ายอินดี้มาก เพราะมันทำออกมาได้ดีและใกล้เคียงกับต้นแบบที่มันเลียนแบบมา
และนอกจากส่วนของการแก้ปริศนาแล้ว ในส่วนของแอ็กชันต่อสู้กับศัตรูก็ทำออกมาได้ดีและเข้าใจง่าย เพราะเราแค่โยนสัตว์วิเศษไปใกล้ศัตรูแล้วมันจะโจมตีแบบอัตโนมัติ และตัวละครที่เป็นมนุษย์ของเรายังสามารถไปร่วมวงโจมตีได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีไอเทมให้ใช้ในการเล่นอย่างเครื่องดูดฝุ่นของ Wake ที่ไว้แก้ปริศนาในฉากและใช้ดูดสัตว์วิเศษที่เราปล่อยออกไปให้กลับมา หรือดูดเศษใบไม้เพื่อหาของ และอีกตัวละครอย่าง Kirby จะมีตะเกียงที่หลัก ๆ จะมีความสามารถคล้ายกับเครื่องดูด แต่จะเพิ่มลูกเล่นการช่วยแก้ดินที่มีพิษได้ด้วย ซึ่งส่วนนี้จะคล้าย ๆ กับเกมของปู่นินอย่าง Luigi Mansion
แต่มันไม่ได้มีแต่นั้นผู้สร้างยังได้ใส่ลูกเล่นมากมายให้เราอยู่กับเกมได้ยาวนาน ทั้งการฟาร์มของที่จะมีไอเทมที่ผู้เล่นต้องเก็บมาอัปเกรดฐานทัพของเราให้ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และจะปลดล็อกความสามารถใหม่ ๆ หรือเพิ่มค่าพลังของตัวละครหลักและสัตว์วิเศษที่จะเพิ่มจำนวนได้ด้วย และเนื่องจากฉากมีความกว้างและซับซ้อนพอสมควรทำให้มีจุดที่เราสามารถวาร์ปได้ด้วย และยังมีระบบกลางวันกลางคืนที่ตอนดึก ๆ จะมีปีศาจที่น่ากลัวออกมาไล่ฆ่าเราและต้องหนีอย่างเดียว ทำให้ต้องวางแผนให้ดีก่อนเดินทางไปท่องป่า ถือว่าเป็นเกมเพลย์ที่ผสมผสานได้ลงตัวกว่าที่คาดไว้มาก
เกม The Wild at Heart ถือว่าเป็นเป็นอีกเกมที่สามารถผสมผสานหลายรูปแบบมายำรวมกันได้ลงตัว แต่ก็มีข้อเสียอยู่ที่ระบบการต่อสู้อาจจะดูธรรมดาไปหน่อย ฉากในเกมบางส่วนดูรกทำให้ดูทางไปต่อหรือแก้ปริศนาได้ลำบาก และการโหลดเข้าฉากที่นานไปนิด แต่โดยรวมแล้วถือว่ามันทำออกมาได้สนุกเหมือนว่ามันไม่ได้สร้างจากทีมงานอินดี้ที่มีทุนไม่สูง ใครชอบเกมที่เน้นการแก้ปริศนาที่ไม่น่าเบื่อและท้าทายแล้วถือว่าเป็นอีกเกมที่ไม่ควรพลาด เพราะไม่บ่อยครั้งนักที่จะมีเกมที่ผสมหลายแนวได้ลงตัวแบบนี้
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส