Our score
8.0Horizon Forbidden West
จุดเด่น
- Gameplay ที่สนุกตื่นเต้น เร้าใจ ครบทุกอารมณ์ สมกับที่รอคอย
- กราฟฟิคที่สวยงามมาก ๆ และดึงความสามารถของ PS5 ออกมาได้เป็นอย่างดี
- มีอิสระในการเล่น เปิดโลกให้ผู้เล่นได้ออกสำรวจอย่างเต็มที่ อยากจะทำอะไรก่อนก็ไปทำ เนื้อเรื่องหลักไม่เดิน ไปเล่น Side Quest ดีกว่า
- ซับภาษาไทยที่ทำออกมาได้ดีตามมาตรฐานของเกมจาก Sony
จุดสังเกต
- เนื้อเรื่องหลักทำออกมาได้ไม่ดีที่ทุก ๆ ด้าน
- ปัญหาเล็กน้อยระหว่างเล่น Game Crash, การแสดงผล Texture โหลดไม่ทัน
-
GAMEPLAY
10.0
-
GRAPHICS
9.0
-
STORY
7.0
-
PERFORMANCE
8.0
-
VALUE
9.0
ในปี 2017 Horizon Zero Dawn ได้วางจำหน่ายแบบ Exclusive สำหรับ Playstation 4 และเป็นเกม IP ใหม่ในบ้านของ Sony ที่มีทีมงานเบื้องหลังอย่าง Guerrilla Games เป็นผู้รังสรรค์สุดยอดผลงาน Exclusive ใน Playstation มาอย่างยาวนาน Killzone ตั้งแต่ในยุค Playstation 2
Horizon Zero Dawn นั้นมีเสียงตอบรับที่ดีมาก ๆ จากทั้งฝั่งสื่อและเกมเมอร์ ฝาดคะแนน 9/10 ไปหลายสำนัก พร้อมกับยังได้รับรางวัลมากมาย ตัวเกมมีคอนเซ็ปต์และแนวคิดที่เรียบง่าย แต่ล้ำยุคและสามารถสร้างโลกของมันให้ผู้เล่นรู้สึกหลงไหลไปกับมันได้ แถมตัวเกมยังดันเอาความสามารถของ PS4 ออกมาได้จนสุด และยังมี Gameplay ที่โคตรสนุก และกลายเป็นสุดยอดเกมในใจหลาย ๆ คนไปครับ
หลายปีผ่านไป แฟนเกมต่างเฝ้ารอการกลับมาของ Aloy (ตัวละครหลัก) และในที่สุดเดือนมิถุนายน 2020 งานเปิดตัว Playstation 5 เครื่องเกม Next Gen ตัวใหม่ของ Sony ก็ได้เปิดตัวเกม Horizon Forbidden West ภาคต่อที่รอคอยกันมาอย่างยาวนานพร้อมกัน พร้อมกับทีมงานชุดเดิมจากภาคแรกทั้งหมด เพิ่มเติมคือตัวเกมยังรองรับภาษาไทย ทั้งในส่วนของ Subtitle, Interface แบบ 100% (คือพี่แกเล่นแปลทุกคำเลย) พร้อมวางจำหน่ายในปี 2022 โดยลงให้กับทั้ง PS4 และ PS5 ครับ
ตัวผมเองนั้นรู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ เรียกได้ว่าอดใจรอที่จะเล่นไม่ไหวตั้งแต่ Download ตัวเกมแล้ว ในที่สุดก็จะได้อิ่มไปกับเรื่องราวการผจญภัยภาคต่อของ Aloy หลังจากที่เธอได้รับรู้เรื่องราวในอดีต เกี่ยวกับทั้งของตัวเธอเอง และของโลกใบนี้ การมาของ Horizon Forbidden West นั้นน่าจะเติมเต็มเรื่องราวพร้อมบทสรุปและปิดผ่านการเดินทางของ Aloy อย่างสมบูรณ์
จนกระทั่ง ผ่านไป 30 ชั่วโมงหลังจากที่ผมเล่นจบ ผมกลับรู้สึกว่า “พอเถอะ”
Story
คำเตือน เนื้อหาในส่วนนี้อาจจะมีการเปิดเผยเนื้อเรื่องและสุดสำคัญในเกมภาคแรก
เรื่องราวในภาคนี้จะต่อจากฉากจบของภาคแรกเลย หลังจากที่เราจัดการกับ HADES ได้สำเร็จ แต่โลกก็ต้องพบเจอกับปัญหาใหม่ เกิดโรคระบาดลึกลับขึ้น ที่ฆ่าทุกอย่างถ้าหากติดเชื้อมันเข้าไป โดย Aloy นั้นจะต้องกลับไปกู้ระบบของ GAIA ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม สานต่อและซ่อมแซมโครงการ Zero Dawn ของ Elisabet Sobeck ให้สำเร็จ เพื่อให้โลกนี้ได้กลับมาฟื้นฟูสภาพและให้มนุษย์ได้อยู่รอดต่อไป เป็นเหตุผลที่ Aloy นั้นเดินทางไปเขตตะวันตก ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนต้องห้าม และนี่คือจุดเริ่มต้นของ ผจญภัยสุดเขตแดนต้องห้าม ชื่อภาษาไทยอย่างเป็นทางการของ Horizon Forbidden West ครับ
อ่านเรื่องราวของ Horizon Zero Dawn ภาคแรกอย่างละเอียด
มันอาจจะฟังดูดีมากในช่วงนี้ แต่หลังจากผ่านย่อหน้านี้ไป แฟน ๆ Playstation อาจจะเริ่มไม่ถูกใจสิ่งที่ผมกำลังจะพูดต่อไปนี้แล้วก็เป็นได้ เพราะผมจะบอกว่า ทั้งเนื้อเรื่องโดยรวม บทพูดของตัวละคร การเล่าเรื่อง ทั้งหมดที่เกี่ยวกับ Story นั้นมันแย่มาก ๆ
ถ้าหากเราย้อนกลับไปดูในภาคแรก Horizon Zero Dawn ต้องยอมรับเลยว่าเนื้อเรื่องของเกมนี้ล้ำมาก ๆ ใครจะไปคิดได้ การที่จับเอาหุ่นยนต์สุดไฮเทคกับมนุษย์ที่เหมือนจะเป็นยุคหินมาอยู่ด้วยกัน พร้อมกับ Worldbuilding หรือการโลกในจินตนาการที่ออกแบบมาได้สมบูรณ์แบบ พร้อมกับการเล่าเรื่องที่ดี น่าติดตาม ทำให้เราอยากรู้เกี่ยวกับอดีตของโลกนี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และความลับของตัวละครหลักอย่าง Aloy ซึ่งตรงส่วนนี้ในเกมภาคแรกนั้น มันได้เฉลยพร้อมกับเปิดปมเอาไว้ส่วนหนึ่งแล้ว
พอมาถึงภาคต่อ ผมอยากรู้เรื่องราวของโลกนี้ให้มากกว่านี้ และสิ่งที่ผมได้รับมาจาก Story หลักเลยก็คือ การที่ Aloy จะต้องตามไปแก้ปัญหากับชนเผ่าต่าง ๆ ที่มีการก่อกบฏ ตีกันแย่งเพื่อแย่งชิงอำนาจ แบบนี้ตลอดทั้งเกม และทั้งเกมเลยจริง ๆ
ในส่วนของ Side Quest นั้น มีบางอันที่ทำออกมาสนุก จะพูดตรง ๆ เลยว่าสนุกกว่าเนื้อเรื่องหลักอีกก็ยังได้เลย เอาเข้าจริง ผมรู้สึกว่าเนื้อเรื่องส่วน Side Quest มันเขียนออกมาดีกว่าเนื้อเรื่องหลักเสียอีก อาจจะเป็นเพราะว่าตรง Side Quest นั้นมันให้ความรู้สึกว่า “เออ เรากำลังเล่น Side Quest อยู่จริง ๆ นะ” ความหมายของมันคือเป็นทางเลือกที่เราจะทำ หรือไม่ทำก็ได้ และไม่มีผลต่อเนื้อเรื่องหลัก มันเลยรู้สึกว่าเราไม่ได้โดนบังคับให้ทำ ถ้าหากเราสนใจในส่วนนี้จริง ๆ เราก็ไปเต็มใจทำได้ และมันก็มี Side Quest หลายตัวที่ผมรู้สึกสนใจจริง ๆ
กลับกันใน Main Story Quest มันให้ความรู้สึกที่ตรงกันข้ามเลย เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนกับ โดนบังคับให้ทำ Side Quest ทั้งเกม เรื่องบางเรื่องมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปมหลัก ๆ ของเกมเลย แต่ก็ยังพาเราไปทำ และเป็นแบบนี้ทั้งเกมเลยจริง ๆ ตลอดทั้งเกมจะมีสิ่งที่เรียกว่า fetch quest โผล่มาตลอดในเนื้อเรื่อง และมันน่าเบื่อมาก ๆ
และด้วยเหตุนี้ มันจึงทำให้ Main Story Quest ของเกมเข้าสู่จุดที่เรียกว่าพล็อตเกินจริง (overreaching plot) ครับ หมายความง่าย ๆ ก็คือ มันเป็นเหตุการณ์อื่น ๆ ที่ต้องทำให้เสร็จ เพื่อเข้าสู่ Event สำคัญ
ยกตัวอย่างเช่น เราต้องการกุญแจดอกนี้ เราจึงต้องเดินทางไปที่หมู่บ้าน เจ้าของหมู่บ้านขอให้เราไปช่วยคนที่หายไปในถ้ำ เราเข้าถ้ำไม่ได้เพราะปากถ้ำมันปิด เลยต้องไปหาอุปกรณ์มาเปิดปากถ้ำ เข้าถ้ำไปได้คนที่ตามหาอยู่หายไป แต่เจอกับหุ่นยนต์แทน เอาชนะหุ่นยนต์ ตามรอยคนไปจนเจอ ช่วยคนสู้กับหุ่นยนต์(อีกแล้ว) และกลับมาที่หมู่บ้าน เพื่อที่จะเอากุญแจ ที่มันควรจะได้ตั้งแต่แรกแล้ว
และผมขอย้ำอีกครั้งครับว่า มันเป็นแบบนี้ทั้งเกมครับ ทั้งเกมเลยจริง ๆ
Objective หลัก ๆ ของเนื้อเรื่อง คือ Aloy จะต้องไปกู้ระบบที่ขาดหายไปของ GAIA มาให้ครบพร้อมใช้งาน เพื่อที่จะรักษาให้โลกนี้อยู่ต่อไป พร้อมกับใส่ตัวละครอื่น ๆ เข้ามามากมายทั้งหน้าใหม่หน้าเก่า เรียกได้ว่าใส่มาโคตรเยอะ ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร เพราะตัวละครพวกนี้มันไม่ค่อยมีอะไรให้น่าจดจำเลย บางตัวคือไม่จำเป็นต้องมีเลยก็ยังได้
การที่ตัวเกมพาเราไปอย่างตะวันตก ตรงนี้ผมรู้สึกชอบมาก เพราะนอกจาก San Francisco แล้ว เราก็จะได้ไปเยือน Las Vegas ในฉบับโลกล่มสลายอีกด้วย แต่ผมก็กลับรู้สึกว่าทีมงานดึงศักยภาพออกมาได้ไม่ดีพอ เพราะทีมงานเล่าเรื่องได้จืดสนิท มันไม่ได้รู้สึกแบบที่ควรจะรู้สึก หรือภาษาอังกฤษก็คือ “waste potential” ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก มันควรจะตื่นเต้นมากกว่านี้สิ แต่นี่กลับไม่มีความรู้สึกอะไรเท่าไรเลย
เรื่องของบทพูด จริง ๆ ต้องบอกว่าเกม RPG นั้น บทพูด หรือ dialogue นั้นมันสำคัญมาก ๆ เพราะมันจะทำให้เรารู้สึกเข้าถึงตัวเกมและตัวละครได้มากขึ้น ในเกมภาคแรกนั้นทำในส่วนนี้ได้ดีมาก แต่พอมาในภาคนี้เหมือนทีมงานปล่อยของไปหมดแล้ว สิ่งที่เราได้รับก็คือบทพูดจืด ๆ ตัวเลือกตอบที่ไม่สร้างสรรค์ แต่ถ้าหากใครขัดใจแล้วตั้งคำถามว่า “แล้วถ้าไม่จืดล่ะต้องแบบไหนถึงจะพอใจ” ผมขอแนะนำ The Witcher 3 ครับ ตัวอย่างที่ดีเลยของเกมที่มี Dialogue ที่ยอดเยี่ยม
Gameplay
“ยังเทพเหมือนเดิม” ในส่วนของ Gameplay นั้น ผมไม่มีอะไรจะบ่นเลยจริง ๆ เพราะนอกจากว่ามันจะสนุกเหมือนเดิมแล้ว มันก็ยังต่อยอดให้สนุกมากกว่าเดิมได้จากภาคแรก เรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาที่แท้จริง แตกต่างจากเกมอื่น ๆ ที่พอเวลามีภาคต่อ ก็แค่เปลี่ยนเนื้อเรื่อง แต่ Gameplay ยังคล้ายๆ ของเดิมอยู่
จริง ๆ ใน Horizon Forbidden West นั้นมันก็ยังคล้าย ๆ ของเดิมอยู่นั่นล่ะครับ เอาจริง ๆ แล้วเล่นเหมือนเดิม วิธีการเล่นแบบเดิม ยกมาจากภาคแรกหมดเลยนั้นล่ะ แต่ในภาคนี้มันได้ “เติมเต็ม” ความสามารถของ Aloy เข้าไปให้สุด โดยใส่สกิลพิเศษเข้ามาตามประเภทของอาวุธที่เราใช้ และมีหลายสกิลมาก ๆ ผู้เล่นสามารถเลือกใช้ให้เข้าเกมสไตล์การเล่นของแต่ละคนได้
อีกทั้งยังมาพร้อมกับอาวุธใหม่ ๆ พร้อมกับหุ่นยนต์ชนิดใหม่ ๆ มากมายมาให้เราต่อสู้ เรียกได้ว่าไม่มีเบื่อ เอาเข้าจริงต้องยอมรับเลยว่า เพราะ Gameplay ที่ดีแบบนี้ มันทำให้ผมทนเล่น Story ยันจบเกมได้
สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากเลยก็คือ Skills tree ในภาคนี้ ที่ไม่ได้ใช้มุขแบบ “โอ้ ภาคที่แล้วฉันทำแบบนี้ได้ แต่ภาคนี้ฉันทำไม่ได้ เพราะยังไม่มี Skiil” เพราะว่าคราวนี้เปิดมาคราวนี้ Aloy จะมีสกิลจากภาคแรกติดตัวมาตั้งแต่เริ่มแล้วเช่น Silent Striker หรือก็ฆ่าเงียบ ๆ Concentration ที่เราจะสามารถกด R3 ขณะเล็งธนูเพื่อชะลอเวลาได้ และอื่น ๆ อีกมาก ทำให้ Skill Tree ในภาคนี้จะมีแต่สกิลใหม่ ๆ ทำให้เราได้รู้สึกว่า Aloy นั้นโตขึ้น และมีประสบการณ์ที่เยอะมากกว่าเดิมครับ
ระบบต่อสู้ในเกมนี้ยังเป็นเหมือนเดิมเลยครับ คือเราต้องใช้ Focus สแกนหาจุดอ่อนของศัตรู เพื่อดูว่าอะไรที่สามารถทำให้หลุดออกมาได้ และอะไรคือจุดอ่อนของมัน และเราสามารถเลือกได้ว่าจะจัดการเงียบ ๆ หรือบุกไปเจอหน้ากันเลย
เอาเข้าจริง มันก็จะให้ความรู้สึกคล้าย ๆ กับเกมอย่าง Monster Hunter ที่เราจะได้สู้กับหุ่นยนต์ตัวใหญ่ ๆ ที่สามารถจัดการเราได้ ถ้าเราไม่ระวัง แต่พวกมันก็มีจุดอ่อน ด้วยตัวที่ใหญ่ เราสามารถปลดอาวุธของมันมาใช้ได้ หรือทำให้มันติดสถานะ กรด น้ำแข็ง ไฟ เพื่อให้เกราะมันละลาย เพื่อที่เราจะโจมตีได้รุนแรงขึ้นได้
หรือเราอาจจะสวมบทเป็น “วัยรุ่นนักทำอุปกรณ์” สายวางกับดัก ใช้ Focus เพื่อสแกนดูเส้นทางการเดินของหุ่นยนต์ตัวนั้น ๆ และวางสาราพัดกับดักเอาไว้ ก่อนที่จะเข้าไปเก็บกู้เศษเหล็กจากซากที่ตายแล้วของมันครับ
การต่อสู้ระยะประชิดของภาคนี้ทำได้ดีขึ้นแบบ 150% ครับ แถมยังขยายไปให้มากกว่าเดิมอีกด้วย ในภาคนี้เราจะมี Skill Tree สายประชิดเข้ามา ที่ออกแบบมาสำหรับการต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้น พร้อมกับสกิลใหม่ ๆ ที่จะเป็นการกดปุ่มผสมรวมกันราวกับเล่น Devil May Cry อีกทั้งทีมงานยังได้ปรับปรุงแอนิเมชันการเคลื่อนไหวให้ดูลื่นไหลและเป็นธรรมชาติมากกว่าเดิมอีกด้วย
ภาคนี้มีหุ่นยนต์ใหม่เยอะมากครับ ผมจะไม่บอกว่ามีกี่ตัว เพราะมันจะ Spoil แต่เอาเป็นว่าทีมงานได้ยกกองหุ่นจากภาคแรกมาทั้งหมด และอัดแน่นไปกับหุ่นชนิดใหม่ ๆ ในภาคต่อนี้อีก แต่ละตัวผมบอกเลยว่าโคตรเด็ด บางตัวก็ชวนหัวร้อนเวลาสู้ เพราะมันกวนประสาทมาก แต่โดยรวมบอกเลยว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม
ในส่วนของ ชุดความก้าวหน้า หรือ Gear Progression ในเกมนี้ สำหรับเกมแนว RPG แล้วสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการ ฟาร์ม นี่ล่ะครับ อย่าเข้าใจผิดนะ ไม่ใช่การทำฟาร์ม แต่มันเป็นการฟาร์มอุปกรณ์ เลเวล ให้ตัวละครเราแกร่งยิ่งขึ้น และในภาคนี้เองก็ออกแบบในส่วนนี้มาได้ดีเลยครับ
เราจะสามารถ Upgrade อุปกรณ์ของเราได้ที่โต๊ะช่าง ซึ่งจะอยู่ตามจุด Checkpoint ต่าง ๆ ทั่วทั้งแผนที่ เราสามารถเลือกดูได้ว่า ของชิ้นนี้มันต้องใช้อะไรบ้างในการ Upgrade และเราสามารถกด “สร้างงาน” โดยมันจะเป็นการนำทางแผนที่ในเกมเอาไว้ และพาเราไปหาของชิ้นนั้น
ยกตัวอย่างเช่น ชุดนี้จะต้องใช้ หัวใจเทรเมอร์ทัสก์ ขั้นสูงสุด ถ้าหากเราไม่รู้จะไปหามันได้จากไหน ก็กดสร้างงานซะ เพราะเดี๋ยวตัวเกมมันจะนำทางพาเราไปเองครับ
Graphics & Performance
มาเข้าเรื่อง Graphics กันก่อน Horizon Forbidden West ขับเคลื่อนโดย Decima Engine เช่นเดิม แต่ก็ไม่อาจทราบได้ว่าเป็นเวอร์ชันอะไร โดยครั้งสุดท้ายที่เราเห็นเกมที่มาจาก Decima ก็คือ Death Stranding โดยจุดเด่นของ Engine ตัวนี้ก็คือระบบฟิสิกส์และ AI ที่จัดการได้ง่าย รวมไปถึงการสร้างโลกขนาดใหญ่ โดยใช้ทรัพยากรเครื่องน้อย โดยยกตัวอย่างก็เกมอย่าง Horizon และ Death Stranding นี่ล่ะครับ ที่แสดงให้เห็นเลยว่า Decima เป็น Engine ที่ถูกออกแบบมาสำหรับเกม Open World จริง ๆ
และใน Horizon Forbidden West นั้น ผมสามารถพูดได้เลยว่าทางทีมงาน Guerrilla Games ได้งัดเอาความสามารถของ Playstation 5 ออกมาจนสุดตั้งแต่ต้น Gen อีกแล้ว เช่นเดียวกับที่เคยทำใน Horizon Zero Dawn สมัย Playstation 4 เพราะกราฟิกในเกมนี้มันสวยมาก สวยจนผมไม่มีคำติอะไรเลยในส่วนนี้จริง ๆ
แต่ช้าก่อน !!!
ผมเข้าใจว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นปัญหาของเกม Day 1 แต่เนื่องจากว่าตัวเกมที่ผมใช้รีวิวนั้น เป็นตัวเกมเวอร์ชัน Day 0 หรือก็คือเวอร์ชันที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายซึ่งเป็นปกติของสื่ออยู่แล้ว และจะได้รับ Day 1 Patch พร้อมกัน หรือเร็วกว่า 2-3 วันก่อนวางจำหน่าย ทำให้ผมพบเจอกับปัญหาหลัก ๆ อยู่ 2 เรื่องในส่วนของกราฟิกครับ
เรื่องแรกก็คือปัญหา Classic อย่าง Texture มันโหลดไม่ทันครับ ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันเป็นปัญหาของทีมงานที่อาจจะยังขัดเกลาระบบ draw distance ออกมาได้ไม่ดีหรืออย่างไร หรืออาจจะเป็นเพราะความสามารถของ PS5 มันสุดแค่นี้ เพราะในหลาย ๆ ฉากของเกม มันไม่ยอมโหลด Texture ของตึกหรือสิ่งก่อสร้างได้อย่าง 100% ทำให้เกิดการแสดงผลแปลก ๆ และผิดปกติขึ้นมา
แต่พอเมื่อผมเดินไปใกล้ ๆ สิ่งก่อสร้างนั้น แน่นอนว่ามันจะโผล่ขึ้นมาปกติ และพอลองเดินกลับไปไกล ๆ แล้วมองกลับมา มันก็ยังแสดงผลปกติ เหมือนกับว่าก่อนหน้านี้มันไม่ยอมโหลด Texture จนกว่าจะเข้าไปใกล้ ๆ มันถึงจะยอมโหลดให้ แต่ก็ไม่มีได้อาการ Frame Rate ร่วงแต่อย่างใด มันเล่นได้ปกติเลยครับ
อย่างที่ผมบอกไปในตอนแรก ว่านี่อาจจะเป็นปัญหาของระบบ draw distance ที่มันเป็นเทคนิคช่วยในการโหลดฉากระยะไกล เพื่อลดการใช้ทรัพยากรของเครื่อง และให้แสดงผลได้อย่างถูกต้อง หรือไม่ก็อาจจะเป็นปัญหาแรมของ PS5 มันไม่พอ แต่ผมก็ไม่อยากจะคิดว่าถ้าเล่นใน PS4 มันจะเป็นยังไงล่ะนี่
แน่นอนว่าด้วยการแสดงผลที่ผิดพลาด มันจึงทำให้เกิดภาพตลก ๆ มาเช่น ตัว NPC นั้นจมไปในพื้นดิน หรือหุ่นยนต์มันดันขี่ทะลุกำแพงมา แต่นอกจากนี้โดยรวมแล้ว ต้องยอมรับตรง ๆ เลยนะครับว่ากราฟิกมันสวยมากจริง ๆ นะ ทำเอาผมตาค้างไปได้เลยในหลาย ๆ ฉาก
ปัญหาอย่างสุดท้ายก็เป็นเรื่องคลาสสิกเช่นกันครับอย่าง Game Crash นั่นเอง ที่ ไม่รู้ว่าด้วยความโชคดีหรือโชคร้ายแต่อย่างใด เพราะผมเจอปัญหานี้มาไม่ตำกว่า 10 ครั้งตลอดทั้งเกม และส่วนมากมันจะเกิดขึ้นก็ตอนที่ใช้ระบบ Fast Travel เท่านั้น ทำเอาผมกลัวระบบนี้ไปเลย และไม่กล้าใช้จนกว่าจะได้ Save Game ก่อน
ซึ่งปัญหาทั้งหมดนั้น ผมได้รายงานทาง Sony ไปแล้ว และมีทีมงานตัวแทนของ Sony ได้ติดต่อกลับมาหาผม พร้อมกับชี้แจงว่าปัญหาทั้งหมดจะได้รับการแก้ไขใน Day One Patch เพราะฉะนั้นก็ให้สบายใจกันได้เลยครับ
อย่างที่ผมบอกไป ว่าเกมนี้ได้ลงให้ทั้ง PS5 และ PS4 แต่ตัวเกมที่ผมใช้รีวิวนั้นอยู่ใน PS5 ตรงนี้จึงต้องขออภัยเกมเมอร์ที่ยังเล่น PS4 เพราะหาชื้อ PS5 ไม่ได้ และผมก็เข้าใจมากครับ เพราะพ่อค้ารีเซลก็ยังคงเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลา แต่วันนี้ผมจะมารีวิวเกมไม่ได้มาพูดถึงปัญหาการรีเซล เพราะฉะนั้นไปต่อกัน
ตัวเกมในเวอร์ชัน PS5 นั้นจะมีโหมดกราฟิกให้ปรับอยู่ 2 แบบ ก็คือ โหมดเน้นประสิทธิภาพ กับ โหมดความแม่นยำสูง
โหมดประสิทธิภาพ จะรันด้วยความละเอียดภาพ Dynamic 1440p แบบ 60FPS ส่วนโหมดความแม่นยำสูง จะรันด้วยความละเอียดภาพแบบ Dynamic 4K แบบ 30FPS และมีฟีเจอร์กราฟิกที่ดีกว่าครับ
และรูปภาพทั้งหมดผมแปะเอาไว้ในบทความนี้ มาจากโหมดประสิทธิภาพทั้งหมดทุกรูปครับ แต่อย่างไรก็ตาม เราก็เอารูปที่มาจากฉากเดียวกัน แต่ปรับคนละโหมดกันเอามาให้เทียบกับดู
ในส่วนของซับไทย แปลมาได้ดีเลยทีเดียวในส่วนของบทพูด แต่พอมาดูในส่วนของอินเทอร์เฟซหรือหน้าจอคำสั่งต่าง ๆ ผมรู้สึกแปลก ๆ อาจจะเป็นเพราะว่าไม่คุ้นชินกับเกมซับไทยมากก็เป็นได้ แต่ขอชื่นชมทีมงานที่เลือกใช้คำทับศัพท์แทนคำแปลตรง ๆ เพราะมันอ่านและเข้าใจกว่ามาก ลองนึกภาพอย่างเช่นคำว่า “อุปกรณ์โอเวอร์ไรด์กำลังรีชาร์จ” ที่ถ้าเราเอาคำว่า โอเวอร์ไรด์ (Override) และ รีชาร์จ (Recharge) มาแปลตรง ๆ มันก็จะกลายเป็น อุปกรณ์แทนที่กำลังชาร์จ คงจะตลกไม่ใช่น้อย
หรือไม่ก็มีตัวเลือกให้ไม่ต้องทับศัพท์ไปเลยก็ได้ เพราะผมมั่นใจว่าเกมเมอร์ส่วนใหญ่ ชอบศัพท์พื้นฐานแบบภาษาอังกฤษมากกว่า เพราะเราเห็นคำพวกนี้มาตลอดหลายปีที่เล่นเกม มันเข้าใจได้ ถึงแม้จะทับศัทพ์มาอย่างเช่นคำว่า รีชาร์จ (Recharge) สุดท้ายเราก็ต้องมานั่งแปลอยู่ดี ว่ารีชาร์จมันคืออะไร เช่นเดียวกับคำว่า โอเวอร์ไรด์ (Override) นั่นเอง
สรุป
ถ้าจะให้พูดตามตรงแบบไม่ปิดบัง คือผมรู้สึกผิดหวังในส่วนของเนื้อเรื่องนะ แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไม อาจจะเป็นเพราะว่าทีมงานปล่อยของจนหมดไปแล้วในภาคแรก พอมาในภาคต่อ ก็เลยไปเล่าเรื่องส่วนขยายโลกภายในเกม โดยให้เราได้ไปรู้จักกับชนเผ่าต่าง ๆ และปัญหาของแต่ละชนเผ่า ที่มันไม่น่าสนใจจนอาจจะลืมไปว่า ปัญหาที่แท้จริงมันก็คือโลกใบนี้ และโครงการ Zero Dawn ที่เปิดม่านฉากเอาไว้แล้วในภาคแรก
แต่จริง ๆ แล้วการที่ตัวเกมดันไปโฟกัสกับโลกในเกม มันก็ทำให้เราได้เห็นถึงความเป็นอยู่ของมนุษย์ ได้เห็นหลักการ ความคิด ที่พยายามนำเอาเรื่องศาสนาความเชื่อของคน ไปไว้ในโลกที่ล่มสลาย และเราก็จะได้รับบทเป็น มนุษย์คนหนึ่งที่รับรู้เรื่องราวของทั้งสองยุคสมัย และพยายามที่จะเชื่อมต่อคนทั้งสองยุคให้เข้ากันให้ได้ และมันก็ไม่ต่างอะไรกับสังคมในสมัยนี้ ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย เรื่องแบบนี้ก็จะเกิดขึ้น เพราะยังไงสุดท้ายแล้ว มนุษย์ ก็คือ มนุษย์ อยู่เช่นเดิมครับ
ผมมองว่านี่อาจจะเป็น Message ที่ทางทีมงานทิ้งเอาไว้ให้เกมเมอร์อย่างเราได้รับรู้กัน แต่อย่างไรก็ตาม การที่ทีมงานจะเอาเรื่องแบบนี้มาเล่า มันเป็นโจทย์ที่ค่อนข้างยาก และทำให้เกมเมอร์บางคน (เช่นผม) เข้าถึงยาก เพราะส่วนตัวแล้วผมเองเป็นคนที่ไม่มีความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ มันก็เหมือนกับ Aloy ที่พยายามบอกกับผู้คนว่า GAIA ไม่ใช่พระเจ้า แต่มันคือ AI แต่จะพูดให้ตายยังไงมันก็ไม่มีวันจบสิ้นสักที แต่ตัวเองก็ต้องเดินหน้าทำหน้าที่ต่อไปครับ
Horizon Forbidden West นั้นเป็นเกมที่ดีครับ อย่างที่ผมบอกไปว่าถึงแม้เนื้อเรื่องมันจะแย่ แต่ Gameplay กับ Graphics นั้นเต็ม 10 ไม่หัก อาจจะมีปัญหาบัคต่าง ๆ บ้าง แต่ก็น่าจะได้รับการแก้ไขไปแล้วใน Day One Patch เพราะฉะนั้นใครที่เป็นแฟนเกมนี้ก็คงต้องบอกได้เลยว่าห้ามพลาด
ส่วนสำหรับผมนั้น ก็คงจะให้มันเป็น Forbidden West ไปแบบนั้น จนกว่าจะมีอะไรสักอย่างที่มาคลายปมในตอนจบได้ หรือไม่ก็พอแค่นี้เสียดีกว่า
อ่านรีวิว Horizon Zero Dawn ฉบับเต็ม
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส