ปลาออร์ฟิช (Oarfish) หรือปลาออร์ หนึ่งในสัตว์ใต้ท้องทะเลสุดลึกลับที่มักผูกโยงกับเรื่องราวในตำนาน และปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยา อย่างแผ่นดินไหว และคลื่นยักษ์สึนามิ โดยเฉพาะในวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ขนานนามปลาออร์ฟิชว่าเป็นผู้ส่งสารจากวังของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล (Ryugu no tsukai)
เพราะเชื่อกันว่าทุกครั้งที่ปลาออร์ฟิช ซึ่งปกติอาศัยอยู่ใต้ทะเลลึกขึ้นมาเกยชายฝั่ง มักจะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติตามมา ด้วยลางร้ายที่ผูกติดมากับปลาออร์ฟิช ทำให้สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ถูกเรียกในอีกชื่อว่า ‘ปลาวันสิ้นโลก’ (Doomsday Fish)
แต่ในความจริง เจ้าปลาออร์ฟิชที่สุดแสนจะลึกลับชนิดนี้ กำลังถูกตีตราและเป็นจำเลยให้กับเหตุการณ์ทางธรรมชาติจากเหล่ามนุษย์อยู่หรือเปล่า BT beartai จะพาคุณดำดิ่งลงไปใต้ผืนสมุทร และข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์กัน
มารู้จักกับปลาออร์ฟิชกัน
ปลาออร์ฟิช มีชื่อแบบไทย ๆ ว่า ‘ปลาพญานาค’ ด้วยลำตัวสีเงินสะท้อนแสง ที่มีลักษณะแบนคล้ายริบบิ้น และยาวได้มากถึง 9 เมตร พร้อมดวงตากลมโต และหนามสีแดงสดบนหัวที่ดูคล้ายกับหงอนของพญานาค ซึ่งทำให้เกิดเรื่องเล่าในไทยมากมายด้วยเช่นกัน
ปลาออร์ฟิชเป็นปลาที่กินด้วยการกรองแพลงก์ตอน และกุ้งขนาดเล็กเป็นอาหาร อาศัยอยู่ในมหาสมุทรชั้นเมโซเพลาจิก หรือลึกลงไปใต้ผิวน้ำกว่า 200-1,000 เมตร ซึ่งเป็นส่วนของมหาสมุทรที่ยังไม่ได้รับการสำรวจอย่างทั่วถึง
โดยปกติมนุษย์มักพบเห็นปลาออร์ฟิชเมื่อมันขึ้นมาโซนน้ำตื้นในสภาพที่อ่อนแอ ตาย หรืออยู่ในสภาพที่ไม่ปกติเท่าไหร่ แถมการสำรวจมหาสมุทรชั้นเมโซเพลาจิกที่เป็นที่อยู่ของมันก็ยังไม่ค่อยพบเห็นปลาออร์ฟิชด้วย เลยยิ่งทำให้ปลาตัวยาวชนิดนี้ดูลึกลับขึ้นไปอีก
เหตุการณ์ที่ทำให้ปลาออร์ฟิชกลายเป็นลางร้ายแห่งภัยพิบัติ
หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้ฉายาปลาวันสิ้นโลกแพร่กระจายไปทั่วโลก มาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศญี่ปุ่นในเดือนมีนาคมปี 2011 ที่มีรายงานข่าวว่าพบปลาออร์ฟิชเกยตื้นในชายฝั่งของญี่ปุ่นกว่า 20 ตัวในช่วงก่อนเกิดเหตุ
โดยเหตุการณ์แผ่นดินไหวในภูมิภาคโทโฮคุมีขนาดกว่า 9.0 แมกนิจูด พร้อมกับเกิดสึนามิสูง 40 เมตร นับเป็นหนึ่งในเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน และมีผู้สูญเสียเกือบ 20,000 ราย
นอกจากนี้ ยังมีการรายงานการพบเห็นปลาออร์ฟิชก่อนเกิดแผ่นดินไหวอีกหลายครั้ง ในหลายพื้นที่ทั่วโลก อย่างแผ่นดินไหวในชิลีปี 2010 แผ่นดินไหวในฟิลิปปินส์ปี 2017 และ 2019 หรือแผ่นดินไหวที่ไต้หวันในปี 2018 ซึ่งทำให้สมมติฐานเรื่องปลาออร์ฟิชกลายเป็นสัญญาณของแผ่นดินไหวดูน่าเชื่อถือมากขึ้น
แต่ข้อมูลวิทยาศาสตร์พบว่าปลาออร์ฟิชเป็นแค่จำเลย
แม้จะมีการรายงานเกี่ยวกับการพบเห็นปลาออร์ฟิชที่แสนลึกลับเกยตื้น หรือขึ้นมาบนผิวน้ำก่อนหน้าการเกิดปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยา อย่างแผ่นดินไหว และสึนามิจำนวนหลายครั้ง แต่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และรายงานจำนวนมากกลับบอกว่าการปรากฏตัวของปลาออร์ฟิชไม่ได้สัมพันธ์กับเหตุการณ์แผ่นดินไหว หรือสึนามิอย่างมีนัยสำคัญในทางงานวิจัย
การศึกษาชิ้นหนึ่งในปี 2019 จากประเทศญี่ปุ่นที่ได้สร้างฐานข้อมูลจากรายงานการพบเห็นปลาออร์ฟิชทั่วประเทศญี่ปุ่น กับเหตุการณ์แผ่นดินไหว ผลการศึกษาสรุปได้ว่าการปรากฏตัวของปลาออร์ฟิชในญี่ปุ่นไม่ได้สัมพันธ์กับการเกิดแผ่นดินไหว หรือสึนามิ โดยทีมผู้ศึกษาตั้งสมมติฐานว่าที่ปลาออร์ฟิชกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของภัยพิบัติมาจากการพาดหัวข่าวเพื่อดึงความสนใจจากผู้อ่าน จนทำให้ความเชื่อเรื่องนี้ฝังอยู่ในหัวของผู้คน
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิจัยบางส่วนเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ปลาออร์ฟิชจะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกใต้ผืนน้ำด้วยพฤติกรรมที่ผิดไปจากเดิม อย่างการเกยตื้น หรือโผล่ขึ้นตามที่คนสันนิษฐาน ซึ่งปลาและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลหลายชนิดมีพฤติกรรมนี้
สิ่งมีชีวิตในโลกใต้น้ำมีประสาทสัมผัสที่พิเศษ ซึ่งอาจสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือน อุณหภูมิ และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมประหลาดขึ้น อย่างกลุ่มของวาฬและโลมาที่สามารถรับรู้สัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า และการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก เพียงแต่การศึกษาเรื่องความสามารถของปลาออร์ฟิชในการรับรู้สิ่งเหล่านี้ยังอยู่ในวงจำกัด
นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีอื่น อย่างการเกยตื้นของปลาออร์ฟิชอาจเป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติของสัตว์ที่จะหนีออกจากพื้นที่ของมันเพื่อป้องกันตัวจากการถูกไล่ล่า หรืออาจเป็นเหตุผลมาจากปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อสภาพแวดล้อมที่อยู่ของปลาออร์ฟิช
จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันอาจสรุปได้ว่า การปรากฏตัวของปลาทะเลน้ำลึกตัวยาวสีเงินสุดลึกลับนี้ไม่ได้สัมพันธ์ หรือเป็นสัญญาณของแผ่นดินไหวใต้ทะเล หรือสึนามิแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังคงมองหาวิธีอื่น ๆ ในการพยากรณ์การเกิดเหตุภัยพิบัติขนาดใหญ่อยู่