“มีการคาดการณ์ว่าในปี 2050 ทั่วโลกจะมีจำนวนผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นถึง 125 ล้านคน”

ในยุคที่ประชากรโลกมีอายุยืนยาวขึ้น ภาวะสมองเสื่อมกลับกลายเป็นปัญหาสุขภาพที่ทั่วโลกให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ หลายคนอาจเข้าใจว่าโรคนี้เป็นเรื่องของพันธุกรรมหรือความชราที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ความจริงแล้ว มีปัจจัยหลายอย่างที่เราสามารถควบคุมได้ และมีส่วนสำคัญในการลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะสมองเสื่อม

ภาวะสมองเสื่อมคืออะไร ?

ภาวะสมองเสื่อม คือภาวะที่เซลล์ประสาทในสมองเสื่อมสภาพ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม ความคิด ความจำ และการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวอย่างมาก

จากข้อมูลล่าสุดของ The Lancet Commission on Dementia 2024 พบว่า มีปัจจัยเสี่ยงมากมายที่เกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะสมองเสื่อม ซึ่งกระจายอยู่ตลอดช่วงชีวิตของเรา ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยชรา โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ช่วงหลัก ๆ ได้แก่ ความเสี่ยงในช่วงต้นของชีวิต ช่วงกลางของชีวิต และช่วงปลายของชีวิต

ความเสี่ยงในช่วงต้นของชีวิต : การศึกษาคือกุญแจสำคัญ

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในช่วงต้นของชีวิตคือ “การศึกษาน้อย” ซึ่งมีผลต่อความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อมถึง 5 เปอร์เซ็นต์ นี่เป็นตัวเลขที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการศึกษาไม่เพียงแต่ให้ความรู้ แต่ยังช่วยฝึกสมองให้คิด วิเคราะห์ และแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นการสร้าง “cognitive reserve” หรือ “ทุนสำรองทางปัญญา” ให้กับสมองของเรา

ดังนั้น การส่งเสริมการศึกษาตั้งแต่วัยเด็กจึงไม่ใช่เพียงการลงทุนเพื่ออนาคตทางอาชีพเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพสมองในระยะยาวด้วย พ่อแม่ ผู้ปกครอง และรัฐบาล จึงควรให้ความสำคัญกับการศึกษาที่มีคุณภาพและทั่วถึงสำหรับเด็กทุกคน

ความเสี่ยงในช่วงกลางของชีวิต : สุขภาพกายและใจที่แข็งแรง

ช่วงกลางของชีวิตเป็นช่วงที่มีปัจจัยเสี่ยงหลากหลายที่สุด โดยปัจจัยที่มีผลกระทบมากที่สุดคือ “การสูญเสียการได้ยิน” และ “คอเลสเตอรอลสูง” ซึ่งแต่ละอย่างมีผลต่อความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อมถึง 7 เปอร์เซ็นต์

แม้การสูญเสียการได้ยินอาจไม่ใช่สิ่งแรกที่คนนึกถึงเมื่อพูดถึงสุขภาพสมอง แต่การได้ยินที่ดีมีความสำคัญอย่างมากต่อการรับรู้และการมีปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบตัว การตรวจสุขภาพหูอย่างสม่ำเสมอและการใช้เครื่องช่วยฟังเมื่อจำเป็นจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย

ส่วนเรื่องคอเลสเตอรอลสูงนั้น เป็นปัจจัยเสี่ยงที่เราสามารถควบคุมได้ผ่านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารไขมันสูง และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น

  • ภาวะซึมเศร้าและการบาดเจ็บทางสมอง (ความเสี่ยงอย่างละ 3 เปอร์เซ็นต์) : แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสุขภาพจิตและความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน
  • การไม่ออกกำลังกาย โรคเบาหวาน การสูบบุหรี่ และความดันโลหิตสูง (ความเสี่ยงอย่างละ 2 เปอร์เซ็นต์) : ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งเราสามารถปรับเปลี่ยนได้
  • โรคอ้วนและการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป (ความเสี่ยงอย่างละ 1 เปอร์เซ็นต์) : แม้จะมีผลกระทบน้อยกว่าปัจจัยอื่น แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่ควรระวังและไม่ควรมองข้าม

จะเห็นได้ว่า การใส่ใจดูแลสุขภาพกายและใจในช่วงวัยกลางคนจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเป็นช่วงที่เราสามารถป้องกันและลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมได้มากที่สุด

ความเสี่ยงในช่วงปลายของชีวิต : ความเชื่อมโยงทางสังคมและสิ่งแวดล้อม

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในช่วงปลายของชีวิต คือ “การแยกตัวทางสังคม” ซึ่งมีผลต่อความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อมได้ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ตามมาด้วย “มลพิษทางอากาศ” (3 เปอร์เซ็นต์) และ “การสูญเสียการมองเห็น” (2 เปอร์เซ็นต์)

การแยกตัวทางสังคมเป็นปัญหาที่ได้พบบ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในสังคมเมืองสมัยใหม่ การส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีกิจกรรมทางสังคม เช่น การเข้าร่วมชมรมผู้สูงอายุ การทำงานอาสาสมัคร หรือแม้แต่การพูดคุยกับเพื่อนบ้าน ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้อย่างมาก

ส่วนเรื่องมลพิษทางอากาศนั้น แม้จะดูเหมือนเป็นปัจจัยที่ควบคุมยาก แต่เราสามารถทำได้โดยการเลือกที่อยู่อาศัยในพื้นที่ที่มีอากาศดี หรือการใช้เครื่องฟอกอากาศในบ้าน นอกจากนี้ การสนับสนุนนโยบายลดมลพิษในระดับชุมชนและประเทศก็เป็นสิ่งสำคัญ

ทางด้านการสูญเสียการมองเห็นนับเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม การตรวจตาเป็นประจำและการใช้แว่นตาหรืออุปกรณ์ช่วยเหลือทางสายตาอื่น ๆ เมื่อจำเป็น จะช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ และรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีได้

การป้องกันคือทางเลือกที่ดีที่สุด

จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมาเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ภาวะสมองเสื่อมไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของพันธุกรรมหรือโชคชะตาเท่านั้น แต่เป็นผลรวมของปัจจัยต่าง ๆ ตลอดช่วงชีวิตของเรา ดังนั้น การดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน ทั้งกาย ใจ และสังคม ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยชรา จึงเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะสมองเสื่อม

แม้ว่าเราจะไม่สามารถควบคุมปัจจัยทางพันธุกรรมได้ แต่เรามีอำนาจในการเลือกวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความสำคัญกับการศึกษา การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป และการรักษาความสัมพันธ์ทางสังคมให้แข็งแรง เป็นต้น

เพราะการลงทุนในสุขภาพสมองไม่ใช่เรื่องที่ต้องรอให้แก่ตัวก่อน แต่เป็นสิ่งที่ควรเริ่มตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม เพราะทุก ๆ การกระทำและการเลือกในวันนี้ ล้วนส่งผลต่อสุขภาพสมองของเราในอนาคตทั้งสิ้น

ดังนั้น ลองมาเริ่มต้นดูแลสุขภาพสมองของคุณตั้งแต่วันนี้ เพื่อชีวิตที่มีคุณภาพ และความทรงจำอันแสนวิเศษที่จะอยู่กับเราตลอดไป