โค้ก แบรนด์เครื่องดื่มโคลายอดนิยมตลอดกาลจากอเมริกา ที่พบได้ทั่วทุกมุมโลก ซึ่งหนึ่งในเบื้องหลังความสำเร็จของโค้ก คือ โค้กสูตรออริจินัล ที่จะต้องทำตามสูตรของบริษัท Coca-cola ที่อเมริกาเป๊ะ ๆ ทั้งวัตถุดิบพื้นฐาน และกระบวนการผลิต รวมถึงปริมาณน้ำตาลที่เราจะพูดถึงในบทความนี้ด้วย

น้ำตาลในโค้กรสออริจินัลที่สิงคโปร์น้อยกว่าไทยเกินครึ่ง

จากที่เล่าไปข้างต้น คงพอนึกออกว่าโค้กสูตรออริจินัลทั่วโลกน่าจะมีรสชาติเหมือนกัน แต่ที่ประเทศสิงคโปร์ เครื่องดื่มโค้กสูตรออริจินัล กลับมีน้ำตาลต่ำกว่าโค้กสูตรเดียวกันที่จำหน่ายในประเทศอื่น 55 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในเว็บไซต์ออฟฟิเชียล Coca-cola ของสิงคโปร์เคลมว่า แม้น้ำตาลจะน้อยลง แต่ยังคงให้รสชาติที่ดีเหมือนเดิม

โดยโค้กรสออริจินัลของสิงคโปร์ 1 กระป๋อง (320 มิลลิลิตร) มีน้ำตาล 14.7 กรัม ให้พลังงาน 61 kcal ในขณะที่โค้กออริจินัลของไทยในปริมาณเดียวกัน มีน้ำตาล 34 กรัม ให้พลังงาน 140 kcal

น้ำตาลน้อยลง แล้วทำไมรสชาติเหมือนเดิม?

ทาง Coca-cola สิงคโปร์ลดปริมาณน้ำตาลลง และใช้สารทดแทนความหวานชนิดที่ไม่ให้พลังงาน อย่างซูคราโลส (Sucralose) และแอซีซัลเฟม โพแทสเซียม (Acesulfame potassium) ซึ่งเป็นสารให้ความหวานกลุ่มเดียวกับที่ใช้ในโค้กสูตรไม่มีน้ำตาล ซึ่งผู้ผลิตได้พัฒนาสูตรที่คงรสชาติของโค้กรสออริจินัลไว้ดังเดิม แม้ส่วนผสมจะเปลี่ยนไป

เหตุผลที่โค้กรสออริจินัลที่สิงคโปร์สามารถปรับแต่งปริมาณน้ำตาลได้ มาจากข้อตกลงของรัฐบาลสิงคโปร์กับบริษัท Coca-cola ที่อเมริกาตั้งแต่ปี 2020 และในการตกลงครั้งนี้ยังรวมถึงสินค้าของ PepsiCo, F&N Foods, Malaysia Dairy Industries, Nestle, Pokka และ Yeo Hiap Seng ซึ่งเป็นบริษัทอาหารและเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ในสิงคโปร์

หากใครไปสิงคโปร์อาจลองหยิบโค้กที่นั่นมาชิมดู ว่าต่างจากไทยแค่ไหน?

ไม่ใช่แค่โค้ก แต่เครื่องดื่มชนิดอื่นในสิงคโปร์ก็น้ำตาลน้อย

ความน่าทึ่งของการควบคุมเครื่องดื่มในประเทศสิงคโปร์ไม่ได้มีแค่น้ำตาลในโค้กสูตรออริจินัลที่หลายประเทศไม่สามารถทำได้เท่านั้น แต่เครื่องดื่มอื่น ๆ ยังมีการควบคุมปริมาณน้ำตาล รวมถึงออกกฏหมายจัดแรงก์กิงสุขภาพบนบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มตั้งแต่ปี 2022

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลสิงคโปร์ได้ให้ความสำคัญกับการลดการบริโภคน้ำตาลในประชาชน เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น โรคอ้วน เบาหวาน และโรคหัวใจ เพื่อช่วยให้คนในประเทศตระหนักรู้เรื่องสุขภาพมากขึ้น ซึ่งเพิ่มแนวโน้มในการเลือกบริโภคของที่ดีต่อสุขภาพ

โดยประเทศสิงคโปร์มีสิ่งที่เรียกว่า Nutri-Grade ซึ่งเป็นเรื่องกฏหมายสุขภาพที่จัดเรียงลำดับตั้งแต่ A ถึง D อิงจากปริมาณน้ำตาล และไขมันในเครื่องดื่ม 100 มิลลิลิตร

  • ระดับ A สีเขียว: น้ำตาลน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 กรัม ไม่มีสารให้ความหวาน, ไขมันอิ่มตัวน้อยกว่าหรือเท่ากับ 0.7%
  • ระดับ B สีเขียวอ่อน: น้ำตาลมากกว่า 1 กรัม แต่ไม่เกิน 5 กรัม, ไขมันอิ่มตัวมากกว่า 0.7% แต่ไม่เกิน 1.2%
  • ระดับ C สีส้ม: น้ำตาลมากกว่า 5 กรัม แต่ไม่เกิน 10 กรัม, ไขมันอิ่มตัวมากกว่า 1.2% แต่ไม่เกิน 2.8%
  • ระดับ D สีแดง: เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมากกว่า 10 กรัมขึ้นไป, ไขมันอิ่มตัวมากกว่า 2.8% ขึ้นไป

ซึ่งโค้กรสออริจินัล 1 กระป๋องจัดอยู่ใน Grade B เท่านั้น แต่หากประเทศไทยจัดอันดับ โค้กรสออริจินัลในปริมาณเดียวกันคงได้ระดับ D หรือแม้ F (หากมี)

หรือแม้แต่น้ำอัดลมแบบแก้วที่ขายตามร้านอาหารก็จำเป็นต้องลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มด้วยเช่นเดียวกัน อย่าง McDonald’s สิงคโปร์ที่ขานรับนโยบาย และลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มที่จำหน่ายหน้าร้าน

นโยบายน้ำตาลในเครื่องดื่มไทย VS สิงคโปร์

ประเทศไทยในช่วงหลัง แม้จะมีความตระหนักในเรื่องสุขภาพและการลดน้ำตาลในอาหาร หรือแม้แต่การเก็บภาษีน้ำตาลที่ทำให้เครื่องดื่มน้ำตาลสูงอย่างกลุ่มน้ำอัดลมราคาสูงขึ้นเพื่อให้เข้าถึงยากขึ้น และเน้นการรณรงค์ให้ลดการบริโภคน้ำตาล ซึ่งเทียบไม่ได้กับมาตรการจำกัดน้ำตาลในเครื่องดื่ม หรือการเจรจากับบริษัทผู้ผลิตของทางสิงคโปร์

นอกจากนี้ ปี 2023 ประเทศสิงคโปร์ยังประกาศข้อบังคับใหม่ให้ร้านอาหารและเครื่องดื่มชงสดต้องระบุ Nutri-Grade บนเมนู ซึ่งจะครอบคลุมเครื่องดื่มที่ทำสดใหม่ด้วย

อีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจคือแนวโน้มของผู้บริโภคทั้งสองประเทศ คนสิงคโปร์ส่วนใหญ่มีความตระหนักรู้เรื่องสุขภาพมากกว่าคนไทย คนสิงคโปร์จึงมีแนวโน้มที่จะสนใจและคำนึงถึงการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพมากกว่า ผู้ผลิตเลยต้องปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

ปัจจุบันประเทศสิงคโปร์ติดอันดับประเทศที่คนสุขภาพดีและมีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดในโลก ค่าเฉลี่ยอายุขัยก็เพิ่มสูงขึ้น

ในทางกลับกัน แม้ว่าคนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น แต่ตลาดยังคงมีความหลากหลายทั้งในเรื่องของผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาลสูงและต่ำอยู่ในเวลาเดียวกัน ซึ่งสะท้อนถึงความแตกต่างในวัฒนธรรมการบริโภค แนวทางการตลาด หรือแม้แต่การตระหนักรู้ด้านสุขภาพของคนในประเทศ

ปัจจุบัน คนไทยป่วยด้วยโรคอ้วนและโรคเบาหวานมากขึ้น ทั้งจากอาหาร และไลฟ์สไตล์ด้านอื่น ซึ่งการกำหนดมาตรการสำหรับเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ไม่ว่าจะโค้ก หรือเครื่องดื่มอื่นจะส่งผลดีในระยะยาว และช่วยชะลอการเจ็บป่วยจากโรคกลุ่มนี้ได้ ในอีกมุมหนึ่งการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการเกิดโรคและการดูแลสุขภาพอย่างจริงจังก็มีส่วนสำคัญด้วยเช่นเดียวกัน

หากเราถอดบทเรียนจากประเด็นโค้กที่สิงคโปร์น้ำตาลน้อยกว่าโค้กประเทศอื่น จะเห็นได้ว่ามีตั้งแต่มาตรการจากทางรัฐบาล การเจรจากับบริษัทผู้ผลิต การสร้างค่านิยมการดูแลสุขภาพ หรือแม้แต่การอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคในการเลือกซื้อเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นต้นแบบด้านสุขภาพ ทั้งในเอเชีย และระดับโลก

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังคงมีกระแสด้านลบของสารให้ความหวานแทนน้ำตาลว่าอาจส่งผลเสียในสุขภาพได้เช่นกัน ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้บริโภคที่ควรศึกษา และเลือกซื้ออย่างเหมาะสม