‘หวานตัดขา’ เป็นคำพูดที่เรามักใช้แซวเวลาที่เพื่อนหรือคนใกล้ตัวกินอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีรสชาติหวานจัด ซึ่งอธิบายถึงความหวานที่เกินมาตรฐานของอาหารทั่วไป แต่เคยสงสัยกันไหมทำไมกินของหวานแล้วต้องตัดขา แล้วที่มาของคำพูดนี้คืออะไร
หากพูดถึงปัญหาสุขภาพที่มาพร้อมกับความหวาน โรคเบาหวานก็คงเป็นโรคแรกที่ผุดขึ้นมาในความคิด ซึ่งที่มาของคำพูดหวานตัดขาก็มาจากโรคเบาหวานนี่แหละ โดยโรคเบาหวานเป็นภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรังจนเกิดอาการต่าง ๆ ตามมา ซึ่งหนึ่งในภาวะแทรกซ้อนของโรคนี้ คือ ‘การตัดขา’
รู้จักโรคเบาหวานกันก่อน
เดิมทีเวลาเรากินอาหารเข้า ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อกินอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต อย่างแป้งและน้ำตาล ตับอ่อนของเราก็จะผลิตฮอร์โมนที่ชื่อ อินซูลิน (Insulin) เพื่อมาพาน้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ เพื่อเป็นพลังงาน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดกลับมาสู่ระดับปกติ
แต่ในคนที่เป็นโรคเบาหวานร่างกายจะไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย (เบาหวานชนิดที่ 1) หรือเซลล์ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ไม่ดีจนน้ำตาลในเลือดไม่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานได้และตับอ่อนผลิตอินซูลินได้น้อยลง (เบาหวานชนิดที่ 2) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติและทำให้เซลล์ภายในร่างกายอักเสบและผิดปกติ ทั้งหลอดเลือด เซลล์ผิวหนัง เซลล์ประสาท และเซลล์อื่น ๆ
พอนานวันเข้าการอักเสบเรื้อรังทำให้เกิดการบาดเจ็บที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้เซลล์ประสาทรับความรู้สึกได้น้อยลง เลือดไหลเวียนได้น้อยลง เซลล์ก็เริ่มอ่อนแอ เพราะขาดออกซิเจนและสารอาหารที่ลำเลียงผ่านเลือด
เป็นเบาหวาน แล้วทำไมต้องตัดขา?
ด้วยภาวะที่ได้บอกไป หากคนที่เป็นเบาหวานเผลอไปเดินเหยียบของมีคม เศษหิน เดินเตะขาโต๊ะ ขอบตู้จนเกิดแผลที่เท้าก็อาจจะไม่รู้สึกเจ็บ เพราะเซลล์ประสาทที่เท้าเสียหาย พอไม่รู้ว่าเท้าเป็นแผลก็ไม่ได้ดูแลแผลอย่างเหมาะสม บวกกับการที่เลือดไหลเวียนได้น้อยลง แผลเบาหวานก็จะหายช้ากว่าคนทั่วไปหลายเท่า
ทั้งหมดนี้ก็อาจทำให้แผลเกิดการติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว ซึ่งก็อาจทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อรอบแผลเริ่มเน่าและตายลง ถ้าไม่ได้ไปหาหมอเนื้อที่เน่าก็จะลามไปบริเวณใกล้เคียงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นของคำพูดหวานตัดขา เพราะการรักษาแผลเบาหวานต้องใช้เวลา ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานจนไม่สามารถรักษาได้ หมอก็อาจจำเป็นต้องตัดเนื้อที่ตายแล้วทิ้งเพื่อไม่ให้แผลลุกลาม ส่วนที่ต้องตัดทิ้งก็อาจจะมีตั้งแต่เนื้อเท้าบางส่วน นิ้วเท้า เท้า หรือในที่ร้ายแรงก็คือขาทั้งขานั่นแหละ และต่อให้ตัดขาไปแล้ว แต่ผู้ป่วยยังดูแลตัวเองไม่ดีหรือร่างกายอ่อนแอมาก ๆ ก็อาจจะติดเชื้อซ้ำได้ด้วย
แม้จะเป็นคำพูดที่ดูเหมือนแซวกันขำ ๆ ในกลุ่มเพื่อนฝูง แต่ที่มาก็น่ากลัวกว่าที่คิด เราเลยอยากแนะนำให้ทุกคนกินอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแป้งและน้ำตาลแต่พอดี อย่างคนที่เคยกินชานมไข่มุกวันละ 2 แก้ว อาจจะเหลือแค่วันละแก้ว หรือใครที่กินทุกวันอาจจะค่อย ๆ ปรับจากหวาน 100 เปอร์เซ็นต์ มาเป็นหวาน 75 และ 50 เปอร์เซ็นต์หรือน้อยกว่านั้นแทน
และหากจะให้ระบุแน่ชัดว่ากินน้ำตาลเท่าไหร่ถึงจะเป็นเบาหวานหรือจะต้องตัดขาจากเบาหวานก็ไม่สามารถทำได้ เพราะโรคเบาหวานขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมาก ๆ แต่ถ้ากินของหวานกินมันบ่อย ๆ และไม่ค่อยออกกำลังกายก็จะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนอื่น
นอกจากเรื่องอาหารแล้ว โรคเบาหวานยังเกี่ยวกับพันธุกรรมด้วย ใครที่พ่อแม่พี่น้องหรือปู่ย่าตายายเป็นเบาหวานก็อาจเสี่ยงต่อโรคนี้มากกว่าคนอื่นก็ควรจะระวังให้มากขึ้น หรือใครที่เป็นเบาหวานอยู่แล้วก็อย่าลืมดูแลความสะอาดร่างกายอยู่เสมอ โดยเฉพาะบริเวณเท้า มองหาแผลที่เท้าทุกวัน และควรใช้ยาตามที่หมอสั่งเสมอ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส