เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินสำนวน “No Pain No Gain” หมายถึง ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ หรือต้องผ่านความลำบากถึงจะได้มา ซึ่งหลายคนก็นำสำนวนนี้มาเป็นคอนเซ็ปต์ในการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการให้กำลังใจตนเองว่า การผ่านเรื่องราวอันน่าเจ็บปวดจะเป็นที่มาของการเติบโตในอนาคต หรือแม้แต่การออกกำลังกายหลายคนก็ใช้คอนเซ็ปต์ “No Pain No Gain” เช่นกัน โดยหมายถึง ยิ่งออกหนัก ใช้แรงมาก ยิ่งเจ็บยิ่งดี เพราะกล้ามเนื้อกำลังทำงาน และจะไปถึงเป้าหมายการมีกล้ามโต ๆ ได้เร็วขึ้น วันนี้ Hack for Health พาทุกคนมาหาคำตอบเรื่องนี้กัน

ไม่ต้อง Pain ก็ Gain ได้!

สำหรับคนที่ออกกำลังกาย โดยเฉพาะการเวทเทรนนิ่ง มักจะใช้คอนเซ็ปต์นี้เพื่อให้กำลังใจตนเอง และมีแรงฮึดสู้กับน้ำหนักของการออกกำลังกายที่เพิ่มขึ้นจนเข้าขั้นทรมานและเจ็บปวดกล้ามเนื้อ เพราะเข้าใจว่าหากร่างกายเราไม่รู้สึกเจ็บปวด หรือทรมาน แปลว่าการออกกำลังกายที่ทำอยู่นี้ไม่ได้ผล แต่ในความเป็นจริงแล้วการที่ร่างกายของเรารู้สึกเจ็บนั่นหมายความว่าตอนนี้เนื้อเยื่อของเรากำลังบาดเจ็บอยู่ และหากเรายิ่งฝืนออกกำลังกล้ามเนื้อเข้าไปอีกก็จะยิ่งทำให้บาดเจ็บหนัก หรือเกิดกล้ามเนื้อฉีกขาดได้

แม้ทุกครั้งที่บาดเจ็บเราอาจสงสัยว่าทำไมร่างกายถึงถึงพัฒนาขึ้นได้ นั่นเป็นเพราะว่าร่างกายของคนเราต้องการจะปกป้องจุดที่บาดเจ็บ เลยทำให้ตนเองแข็งแรงขึ้น แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีอาการบาดเจ็บแล้ว ร่างกายจะทิ้งร่องรอยการบาดเจ็บไว้หรือเป็นจุดอ่อนของเรา สามารถกลายเป็นปัญหาของร่างกายภายหลังได้

Gain by No Pain

เราจะพาทุกคนมารู้จักกับคอนเซ็ปต์การออกกำลังกายแบบใหม่ “Gain by No Pain” คือ การเล่นหรือออกกำลังกายแล้วต้องไม่รู้สึกเจ็บหรือทรมาน แต่จะรู้สึกเพียงแค่ล้าตามร่างกายเท่านั้น นั่นแปลว่าการออกกำลังกายของเรามีน้ำหนักที่เหมาะสมที่จะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อทำงานจริง ๆ

ดังนั้น คอนเซ็ปต์ Gain by No Pain จะเป็นการพัฒนากล้ามเนื้อโดยที่ไม่เกิดการบาดเจ็บ และจะเป็นการออกกำลังกายที่ดี แต่หากอยากให้ร่างกายเกิดการพัฒนายิ่ง ๆ ขึ้น ก็สามารถค่อย ๆ เพิ่มน้ำหนักการออกกำลังกาย หรือน้ำหนักการยกเวทเข้าไปทีละนิดเพื่อให้ร่างกายเกิดความเคยชินจนสามารถรับน้ำหนักไหว และอาศัยการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการกินโปรตีนในปริมาณที่เหมาะสม สำคัญที่สุดคือต้องมีเป้าหมายการออกกำลังกายที่ชัดเจนว่าต้องการออกกำลังกายเพื่ออะไร

ควรใช้เวลาในการออกกำลังกายกี่นาที

สำหรับระยะเวลาในการออกกำลังกาย แน่นอนว่าระยะเวลาที่ดีที่สุดนั่นคือเวลาเท่าที่คุณสะดวก และสามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอ แต่ทั้งนี้ หากคุณมีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการออกกำลังกายเพื่ออะไร คุณก็จะสามารถจัดสรรเวลาหรือพอจะกำหนดเวลาคร่าว ๆ ในการออกกำลังกายของคุณได้ เช่น หากคุณต้องการออกกำลังกาย ยืดเส้นยืดสาย เพื่อให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัวหลังจากที่เมื่อยล้าจากการทำงานมาทั้งวัน คุณก็สามารถออกกำลังกายแบบยืด เหยียด วันละ 10-15 นาทีได้ แต่หากคุณต้องการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก คุณก็ควรที่จะออกกำลังกายอย่างน้อย 30-45 นาทีต่อวัน เพื่อให้ร่างกายได้เผาผลาญแคลอรีที่ได้รับในระหว่างวัน หรือหากคุณต้องการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ ก็สามารถยึดตามจำนวนเซตของท่าออกกำลังกายได้ แต่ต้องไม่ให้กล้ามเนื้อของตนเองรู้สึกเจ็บปวดทรมาน

ย้ำกันอีกครั้งว่าการออกกำลังกายที่ดี ไม่ควรทำให้ร่างกายบาดเจ็บ เพราะส่วนใหญ่คนเราออกกำลังกายเพื่อให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง โดยมีผลพลอยได้เป็นรูปร่างที่สมส่วนตามที่ต้องการ แต่ทั้งนี้ หากการออกกำลังกายของคุณหนักเกินไปจนกลายเป็นทำร้ายร่างกายตนเอง นั่นหมายความว่าการออกกำลังกายของคุณไม่ได้ประสิทธิภาพ และไม่บรรลุเป้าหมายที่แท้จริงแถมยังทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บอีกด้วย

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส