ทุกคนน่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับค่า BMI (Body Mass Index) หรือดัชนีมวลกายกันมาบ้าง โดยค่า BMI เป็นค่าชี้วัดระดับความอ้วน ผอม และสมส่วน ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถรู้ถึงสถานะร่างกายและสุขภาพได้ Hack for Health เลยจะมาเล่าเรื่องที่คุณควรจะรู้เกี่ยวกับ BMI ที่จะช่วยให้การดูแลสุขภาพและรูปร่างของคุณดีขึ้น
การรู้ค่า BMI ของตัวเองดีอย่างไร?
BMI สามารถบอกถึงสถานะสุขภาพเบื้องต้นของคุณได้ โดยใช้เพียงน้ำหนักและส่วนสูงไปคำนวณด้วยสูตรทางคณิตศาสตร์ที่ไม่ซับซ้อน แล้วนำค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์ การรู้ค่า BMI จึงเป็นประโยชน์ต่อคุณในด้านต่อไปนี้
- รู้สถานะสุขภาพของตัวเองว่าผอมไป อ้วนไป หรือพอดีแล้ว
- สามารถใช้เป็นเกณฑ์เบื้องต้นในการประเมินโรคอ้วนและปัญหาสุขภาพอื่นที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัวและไขมัน อย่างกลุ่มอาการอ้วนลงพุง (Metabolic syndrome)
- ใช้เพื่อวัดความก้าวหน้าหรือถอยหลังในการควบคุมน้ำหนักและการดูแลสุขภาพ
- ช่วยให้คุณวางแผนการดูแลสุขภาพ อย่างการกินอาหารและการออกกำลังกายได้ดีขึ้น
วิธีหาค่า BMI และเกณฑ์การวัด
มาดูวิธีคำนวณและเกณฑ์การวัดค่า BMI กัน
BMI = น้ำหนัก (กิโลกรัม) หารด้วย [ความสูง (เมตร) ยกกำลัง 2]
ตัวอย่าง: คนที่สูง 168 เซนติเมตร = 1.68 เมตร, น้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม
- BMI = 60 / (1.68*1.68)
- BMI = 60 / 2.8
- BMI = 21.3
จากนั้นเอาค่า BMI ของคุณไปเทียบกับเกณฑ์ตามตารางด้านล่างนี้
- น้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ BMI < 18.5
- สมส่วน BMI = 18.5–22.9
- อ้วนเล็กน้อย BMI = 23.0–24.9
- อ้วน (อ้วนระดับ 1) BMI = 25.0–29.9
- อ้วนมาก (อ้วนระดับ 2) BMI > 30.0
ถ้าคุณไม่มั่นใจความสามารถในการคำนวณของตัวเอง สามารถไปใช้แอปพลิเคชันและเว็บไซต์สำเร็จรูปเพื่อหาค่า BMI ได้
ข้อจำกัดของ BMI
แม้จะง่ายและสะดวก แต่ค่า BMI นั้นมีข้อจำกัดบางอย่างที่คุณควรรู้ เช่น
- ไม่ใช่เกณฑ์ในการวินิจฉัยโรคเป็นเพียงการเบื้องต้น
- คนที่มีค่า BMI เท่ากันไม่ได้หมายความว่ามีไขมันเท่ากันหรือความเสี่ยงของโรคที่เหมือนกัน
- BMI มีเกณฑ์สำหรับเด็กและวัยรุ่น กับของผู้ใหญ่ ซึ่งเกณฑ์และการคำนวณต่างกัน
- คนที่ออกกำลังกายหรือนักกีฬาอาจไม่สามารถใช้ค่า BMI เพื่อประเมินได้ เพราะน้ำหนักตัวมาจากกล้ามเนื้อเป็นส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากไขมัน
ที่มา: CDC
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส