อาการท้องผูก คือ อาการที่ลำไส้ของคุณเคลื่อนไหวน้อยลงทำให้อุจจาระผ่านได้ยาก มักเกิดขึ้นบ่อยหากมีการเปลี่ยนแปลงอาหารหรือกิจวัตรประจำวัน รวมถึงเกิดจากการได้รับไฟเบอร์ไม่เพียงพอ ซึ่งไม่ควรปล่อยไว้หากคุณเริ่มมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง อุจจาระมีเลือดปน หรือมีอาการท้องผูกนานยาวนาน
อาการท้องผูกคืออะไร ?
การเคลื่อนไหวของลำไส้น้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ คือคำจำกัดความของอาการท้องผูกในทางเทคนิค แต่ความถี่ในการอุจจาระนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอุจจาระหลายครั้งต่อวัน ในขณะที่บางคนอุจจาระเพียง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์
โดยอาการท้องผูกเกิดขึ้นเนื่องจากลำไส้ใหญ่ดูดซับน้ำจากอุจจาระของคุณมากเกินไป วิธีนี้จะทำให้อุจจาระของคุณแห้ง แข็ง และขับออกจากร่างกายได้ยาก เป็นหนึ่งในอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อยที่สุดในสหรัฐอเมริกา อย่างน้อย 2.5 ล้านคนที่ไปพบแพทย์ในแต่ละปีเนื่องจากอาการท้องผูก
ปัจจัยที่ทำให้ท้องผูก ?
สาเหตุของอาการท้องผูกมีมากมาย รวมถึงปัจจัยในการดำเนินชีวิต ยา และเงื่อนไขทางการแพทย์ โดยสาเหตุที่อาจทำให้เกิดอาการท้องผูก มีดังนี้
1.ปัจจัยด้านไลฟ์สไตล์
สาเหตุการดำเนินชีวิตทั่วไปของอาการท้องผูก ได้แก่ :
- กินไฟเบอร์ไม่เพียงพอ
- ดื่มน้ำไม่เพียงพอ (ภาวะขาดน้ำ)
- ออกกำลังกายไม่เพียงพอ
- การเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันของคุณ เช่น การเดินทางหรือการรับประทานอาหาร หรือการเข้านอนในเวลาที่ต่างกัน
- การบริโภคนมหรือชีสในปริมาณมาก
- ความเครียด
- ต่อต้านการกระตุ้นให้มีการเคลื่อนไหวของลำไส้
2.ยา
ยาที่อาจทำให้ท้องผูก ได้แก่
- ยาแก้ปวดที่รุนแรง เช่น ยาเสพติดที่มีโคเดอีน
- ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ไอบูโพรเฟน
- ยาต้านอาการซึมเศร้า
- ยาลดกรดที่มีแคลเซียมหรืออะลูมิเนียม
- ยาธาตุเหล็ก
- ยารักษาโรคภูมิแพ้ เช่น ยาแก้แพ้
3.เงื่อนไขทางการแพทย์
เงื่อนไขทางการแพทย์และสุขภาพที่อาจทำให้เกิดอาการท้องผูก ได้แก่
- ภาวะต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย เบาหวาน ยูรีเมีย และแคลเซียมในเลือดสูง
- มะเร็งลำไส้ใหญ่
- อาการลำไส้แปรปรวน
- โรคถุงน้ำดี
- อาจมาจากข้อบกพร่องของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
- ความผิดปกติของระบบประสาท รวมถึงการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง โรคพาร์กินสัน และโรคหลอดเลือดสมอง
- การตั้งครรภ์
สังเกตอาการท้องผูก
หากคุณไม่แน่ใจว่าตนเองกำลังเป็นโรคท้องผูกหรือไม่ ให้สังเกตอาการของตนเอง ดังนี้
- อุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
- อุจจาระของคุณแห้ง แข็ง หรือเป็นก้อน
- อุจจาระยากหรือเจ็บปวด
- มีอาการปวดท้องหรือเป็นตะคริวที่ช่องท้อง
- คุณรู้สึกท้องอืดและคลื่นไส้
- รู้สึกว่ายังถ่ายอุจจาระไม่หมดหลังจากได้ถ่ายไปบ้างแล้ว
รักษาอาการท้องผูก
การรักษาอาการท้องผูกเรื้อรังมักเริ่มต้นด้วยการปรับเปลี่ยนอาหารและการใช้ชีวิต หากการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นไม่ช่วยบรรเทาอาการ อาจแนะนำให้ใช้ยาหรือการผ่าตัด
- การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ได้แก่ การถ่ายอุจจาระทันที การถ่ายอุจจาระให้เพียงพอโดยไม่วอกแวกและไม่เร่งรีบ การนั่งในท่าที่เหมาะสมขณะขับถ่าย เพิ่มกากใยอาหารจากการบริโภคผักและผลไม้ ออกกำลังกาย และดื่มน้ำให้เพียงพอ
- ยาระบาย ยาระบายมีหลายประเภท แต่ละชนิดทำงานต่างกันเพื่อให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น แต่แม้ว่ายาระบายส่วนใหญ่จะมีความปลอดภัยสูง แต่แนะนำว่ายาระบายทั้งหมดควรได้รับการสั่งจ่ายโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
ป้องกันอาการท้องผูก
หากคุณเป็นคนที่ท้องผูกบ่อย และมีสาเหตุมาจากปัจจัยในชีวิตประจำวัน คุณสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงอาการท้องผูกได้ ดังนี้
1.ดื่มน้ำให้มากขึ้น และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ ซึ่งอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ รวมถึงหลีกเลี่ยงน้ำผลไม้และเครื่องดื่มที่มีรสหวานสูง
2.หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์แปรรูป อาหารทอด และคาร์โบไฮเดรตขัดสี เช่น ขนมปังขาว พาสต้า และมันฝรั่ง และหันมากินเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เช่น เนื้อไก่และผลิตภัณฑ์จากนมไขมันต่ำ
3.เพิ่มผัก ผลไม้ เมล็ดธัญพืช และอาหารที่มีไฟเบอร์สูงอื่น ๆ ในอาหารประจำวัน รวมถึงกินอาหารไขมันสูงให้น้อยลง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ และชีส หันมากินผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ส้ม สับปะรด เบอร์รี มะม่วง อะโวคาโด และมะละกอ
แม้ว่าอาการท้องผูกเป็นครั้งคราวจะเป็นเรื่องปกติ แต่บางคนอาจมีอาการท้องผูกเรื้อรังซึ่งรบกวนการทำงานประจำวันได้ ที่สำคัญหากมองข้ามและไม่ได้รับการรักษา ในที่สุดอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ริดสีดวงทวาร อาการที่เกี่ยวข้องและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ยิ่งทำให้คุณภาพชีวิตของคุณแย่ลง ดังนั้น การตระหนักถึงสัญญาณเตือนของอาการท้องผูกจึงมีส่วนช่วยในการรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงที
ที่มา my.clevelandclinic , bangkokhospital
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส