“งานและชีวิต” เป็น 2 ส่วนสำคัญในชีวิตที่เกี่ยวพันกันตลอดเวลา การค้นหาสมดุลที่สมบูรณ์แบบระหว่างงานและชีวิตได้กลายเป็นความท้าทาย สำหรับหลาย ๆ คน โดยเฉพาะสมาชิกชมรมคนรักงานในยุคปัจจุบันที่ดูเหมือนว่าจะถูกงานกลืนกินชีวิตไปมาเหลือเกิน แต่คำแนะนำที่เราจะมาแนะนำ คือ แทนที่คุณจะมุ่งเน้นไปที่ความสมดุล เราอยากให้คุณลองมองว่า งานและชีวิตไม่ใช่สิ่งที่แยกจากกัน แต่เป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้วงกลมที่หล่อหลอมซึ่งกันและกัน
ดังที่ Jeff Bezos เคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า “หากคุณมีความสุขที่บ้าน คุณจะมีพลังมหาศาลในการทำงาน และหากคุณมีความสุขในการทำงาน คุณจะกลับบ้านด้วยพลังงานมหาศาล” ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจว่าทั้งงานและชีวิตมีความสำคัญเท่าเทียมกัน และเราควรพยายามหาทางจับทั้ง 2 ฝั่งมาอยู่ภายใต้วงกลมแห่งความสุขเดียวกันให้ได้แบบพอดี
Work life harmony งาน+ชีวิต รวมเป็น 1!
ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน มีความเกี่ยวข้องกับการสร้างสมดุลที่ดีระหว่างระยะเวลาและความพยายามที่ใช้ไปกับงาน สิ่งที่เกี่ยวข้องกับงาน กับระยะเวลาและพลังงานที่คุณอุทิศให้กับชีวิตส่วนตัว ครอบครัว เพื่อน และกิจกรรมอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน
ทำไมคุณถึงต้องใส่ใจความสมดุลระหว่างงาน และชีวิตส่วนตัว?
เพราะการบรรลุความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานเชิงบวกจะให้ประโยชน์แก่คุณหลายประการ ได้แก่
1. ช่วยลดระดับความเครียด
เมื่อคุณมีความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว คุณจะสามารถจัดการกับความเครียดและรักษาความเป็นอยู่โดยรวมได้ดีขึ้น
2. ช่วยปรับปรุงสุขภาพกายและสุขภาพจิตของคุณ
ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานในเชิงบวก สามารถช่วยป้องกันความเหนื่อยหน่าย ความเหนื่อยล้า และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเครียดเรื้อรังได้
3. สร้างความพึงพอใจในงานที่ดีขึ้น
เมื่อคุณมีความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวมากขึ้น คุณก็จะพอใจกับงานและรู้สึกเติมเต็มในอาชีพการงานมากขึ้น
4. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคุณ
การหยุดพักและทำกิจกรรมนอกเวลางาน จะทำให้คุณสามารถชาร์จแบตเตอรี่และกลับมาทำงานได้อย่างสดชื่นและมีประสิทธิผลมากขึ้น
5. การสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานที่ดีขึ้น สามารถทำให้คุณสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับครอบครัว เพื่อน และคนที่คุณรัก เนื่องจากคุณมีเวลามากขึ้นในการอุทิศให้กับความสัมพันธ์ที่สำคัญเหล่านี้มีเวลาที่เหมาะสม
6. เป็นการปรับปรุงการบริหารเวลาของคุณ
เมื่อคุณมีความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว คุณจะสามารถจัดการเวลาและจัดลำดับความสำคัญของงานได้ดีขึ้น
เจาะลึกปัจจัยการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพ ที่ส่งผลต่อคุณภาพของการทำงาน
ในหัวข้อนี้เราจะมาเจาะลึกแง่มุมต่าง ๆ ของการใช้ชีวิต เพื่อแสดงให้คุณเห็นว่าการมีบาลานซ์ ที่ดีระหว่างการทำงาน และการใช้ชีวิตจะส่งผลที่ดีต่อการทำงาน และส่งผลต่อสุขภาพชีวิตโดยรวมของคุณอย่างไร
1. นิสัยการนอน
การนอนดึกเพราะทำงานแบบ โอเวอร์โหลด มากเกินไป จะส่งผลทำให้รู้สึกเหนื่อยและง่วงนอนตลอดทั้งวัน และจะยังส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน ส่วนผู้ที่รักษากิจวัตรการนอนหลับที่ดีต่อสุขภาพและตื่นเช้า จะรู้สึกสดชื่นและกระฉับกระเฉง
2. การเดินทาง
การเดินทางไปทำงานที่เต็มไปด้วยสภาพรถติด และบวกกับการนอนไม่พอ จะยิ่งเพิ่มความเครียดและความเหนื่อยล้า ทำให้ยากต่อการมุ่งความสนใจไปที่งาน ส่วนผู้ที่มีความรู้สึกสดชื่นและกระฉับกระเฉง งานตรงเวลา มาจากการจัดสรรเวลาให้เพียงพอสำหรับการเดินทาง
3. ผลผลิตของการทำงาน
การขาดสมาธิจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานอย่างแน่นอน ส่วนผู้ที่มีสมาธิอย่างเต็มที่ จะทำให้เกิดประสิทธิผลในการทำงาน ทำให้สร้างสมดุลระหว่างการทำงานและช่วงพักผ่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. เวลาของครอบครัว
ความไม่สมดุลในชีวิตและงาน อาจนำไปสู่การมีปากเสียง ความไม่พอใจ เกิดขึ้นกับสมาชิกในครอบครัว เพราะไม่มีเวลาให้กันเลย แต่ผู้ที่มีเวลาว่างนำไปใช้กับครอบครัว ทำงานอดิเรกและกิจกรรมอื่น ๆ จะทำให้มีชีวิตสมดุลที่มีความสุข
5. สุขภาพจิต
การอดนอนและความเครียดในที่ทำงาน สามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตได้ในระยะยาว ส่วนผู้ที่มีกิจวัตรการนอนหลับที่ดีต่อสุขภาพ และมีความสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวสามารถส่งผลดีต่อสุขภาพจิตมากกว่า
5 เคล็ดลับเพื่อสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน
การบรรลุความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานในเชิงบวก ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความเป็นอยู่โดยรวมของคุณ แต่ก็อาจเป็นเรื่องที่ท้าทายได้ถ้าคุณรู้จักวิธีการจัดการ ซึ่งเราก็ได้นำคำแนะนำบางส่วนมาแนะนำกันแล้ว
1. กำหนดขอบเขต
สิ่งสำคัญคือ คุณต้องกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว โดยกำหนดเวลาทำงานไปเลย และจะไม่เช็กอีเมล หรือรับสายที่ทำงาน ในช่วงเวลาส่วนตัว
2. จัดลำดับความสำคัญ
จัดสรรเวลาให้กับกิจกรรมที่สำคัญที่สุด เช่น การใช้เวลากับครอบครัว ทำงานอดิเรก หรือออกกำลังกาย การจัดลำดับความสำคัญ จะทำให้คุณมีระเบียบและลดความเครียดและความวิตกกังวลไปได้
3. เรียนรู้ที่จะปฏิเสธซะบ้าง
เป็นเรื่องปกติที่จะปฏิเสธงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของคุณ รวมถึงการของานด่วน ที่รบกวนเวลาส่วนตัว
4. หาเวลาพักในช่วงเวลาต่าง ๆ ของวัน
การหาเวลาพักในช่วงเวลาต่าง ๆ ของวัน จะทำให้คุณมีพลังงานและการทำงานมีประสิทธิผลมากขึ้น เช่น การให้ความสำคัยกับการพักรับประทานอาหารกลางวัน การออกไปเดินเล่นระหว่างพัก เป็นต้น
5. ใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด
เทคโนโลยีอาจเป็นดาบสองคม ถ้าคุณอยากมีชีวิตที่บาลานซ์ เพราะเทคโนโลยีสามารถทำให้การทำงานของคุณมีความยืดหยุ่นมากขึ้น สะดวกขึ้น เร็วขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถทำให้ตัดการเชื่อมต่อได้ยากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด และกำหนดขอบเขตการใช้งานแบบชัดเจน
ถ้าคุณได้ลองปฏิบัติตามแนวคิด Work life harmony ผสานชีวิตและการทำงานให้เป็นหนึ่งเดียว ได้อย่างต่อเนื่อง เราเชื่อว่า คุณจะค้นพบว่าความสุขไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ด้านเดียว (ไม่ว่าจะเป็นความสุขที่มาจากการทำงาน ได้เงิน หรือความสุขจากการได้ใช้ชีวิตก็ตาม) แต่คุณจะพบว่าความสุขแทรกซึมอยู่ในทุกแง่มุมของการดำรงอยู่ของเรา ช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิต และมีความสุขในทุก ๆ ด้าน
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ OOCA (อูก้า) ปรึกษาปัญหาใจ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส