เทรนด์สุขภาพเป็นเทรนด์ที่คนให้ความสนใจกันมากขึ้นทุกปี อาจเพราะเหตุการณ์โรคระบาด ค่านิยมการใช้ชีวิต การศึกษา และความตระหนักรู้เรื่องการดูแลสุขภาพ ซึ่งในช่วงหลังมานี้เทรนด์สุขภาพมีความน่าสนใจ และเปลี่ยนไปตามโลกมากขึ้น ในบทความนี้เลยจะพาไปส่องเทรนด์สุขภาพที่จะมาในปี 2024 กัน
Prevention Is Better Than Cure
เทรนด์สุขภาพในภาพรวมของปี 2024 และปีต่อ ๆ ไป คือ การรักษาสุขภาพเพื่อให้ไม่ป่วย แทนปล่อยให้ป่วย แล้วค่อยรักษา โดยผลสำรวจพบว่าคนเจน Z (ผู้ที่เกิดหลังปี 2000) ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเพื่อไม่ให้ตัวเองป่วยมากกว่าคนช่วงวัยอื่น
ซึ่งในหลายปีที่ผ่านมาผู้คนเริ่มลงทุน และใช้จ่ายไปกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น ทั้งอาหาร การออกกำลังกาย การดูแลสุขภาพจิต การใช้อาหารเสริม และวิตามิน การเลือกใช้สิ่งของที่เป็นมิตรกับร่างกายมากที่สุด อย่างสารสกัดจากธรรมชาติ แทนการใช้เคมีสังเคราะห์ รวมไปถึงการตรวจสุขภาพที่ถี่มากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพให้ได้มากที่สุด
สร้างสมดุลสารอาหาร
อาจเพราะด้วยงานวิจัย และผลการศึกษาที่เพิ่มมากขึ้น เทรนด์เรื่องการกินอาหารเริ่มเปลี่ยนกลับมาที่การให้ความสำคัญกับปรับสมดุลอาหารแทนการตัดหรือเลือกกินอาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น การกินอาหารคีโตเจนิก (Ketogenic Diet) ที่ตัดแป้ง และน้ำตาล เน้นพลังงานจากไขมันอย่างเดียว
โดยการปรับสมดุลของสารอาหาร คือ เราสามารถกินอาหารได้ทุกชนิดเพียงแค่เลือกสัดส่วนของสารอาหารแบบใส่ใจมากขึ้น เช่น การกินอาหารครบ 5 หมู่แบบที่เราเคยเรียนมา แต่เน้นกินผัก และโปรตีนให้มากขึ้น กินแป้งแบบพอดี และไขมันอีกเล็กน้อยเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารหลายชนิดเพื่อรักษาการทำงานของร่างกาย ซึ่งอาจง่ายกว่าการเลิกกินอาหารบางอย่างไปเลย ช่วยให้ใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นด้วย
หรืออย่างเทรนด์ IF (Intermittent Fasting) ที่ปีที่ผ่านมามีการศึกษาพบว่าการลดน้ำหนักระหว่างการทำ IF กับการคุมอาหารสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ในระดับที่ใกล้เคียงกัน อันนี้นับเฉพาะเรื่องน้ำหนัก ส่วนประโยชน์ในแง่อื่นต้องลองเทียบดูอีกที
แพลนต์เบสมาแรง
ปี 2023 ที่ผ่านมาเป็นปีของอาหารแพลนต์เบสเลยก็ว่าได้ จะเห็นว่าโปรดักต์เกี่ยวกับสุขภาพมักหยิบแหล่งที่มาของโปรดักต์มาชูว่าทำมาจากพืช เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนในยุคปัจจุบัน ทั้งเรื่องสุขภาพ ที่มีงานวิจัยบอกว่าอาหารจากพืชดีต่อสุขภาพหัวใจมากกว่า หรือจะเป็นเรื่องกระแสวีแกนเพื่อลดการกินอาหารที่ทำมาจากเนื้อสัตว์ หรือเรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งกระแสแพลนต์เบสน่าจะมาแรงต่อเนื่องถึงปี 2024 ด้วย
Telemedicine/Telehealth
Telemedicine กับ Telehealth เป็นเทรนด์ที่น่าจะอยู่กับโลกของเราไปอีกยาวนาน และจะเข้ามามีส่วนในชีวิตของคนทั่วโลกมากขึ้น ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้เป็นการดูแลสุขภาพผ่านทางไกล ไม่ว่าจะเป็นการหาหมอเพื่อปรึกษา รักษา และบำบัดปัญหาสุขภาพ ทั้งกาย และใจ
ไปจนถึงการเทรนด์ออนไลน์กับโค้ชออกกำลังกาย นักโภชนาการ หรือนักจิตวิทยา โดยทั้งหมดนี้สามารถทำผ่านสมาร์ตโฟน แท็ปเล็ต และแล็ปท็อป ทั้งการแชต โทรด้วยเสียง โทรแบบวิดีโอ และรวมไปถึงบริการส่งยา หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ถึงบ้านหลังตรวจด้วย
อ่านบทความ OOCA (อูก้า) ปรึกษาปัญหาใจ แพลตฟอร์มที่ช่วยฟื้นฟูจิต ฮีลใจ ไม่ต้องออกจากบ้านก็คุยกับผู้เชี่ยวชาญได้
โปรแกรมดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคลด้วย AI
เดี๋ยวนี้แค่เราใส่คำสั่งในเว็บ AI ต่าง ๆ ให้ละเอียด เราก็ได้แพลนหรือไอเดียออกมาแล้ว ซึ่งการนำมาปรับใช้กับการดูแลสุขภาพก็ได้เหมือนกัน หรือปัจจุบันก็มีแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนหลายตัวที่หยิบเอาเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อ Personalize วิธีการดูแลสุขภาพ ทั้งอาหาร การออกกำลังกาย และไลฟ์สไตล์เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน
อ่านบทความลองใช้ ChatGPT ออกแบบโปรแกรมอาหารกับออกกำลังกาย
กินโปรตีนให้ถึง
ในช่วงปีที่ผ่านมาคนตระหนักรู้เรื่องความสำคัญของโปรตีนมากขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่กินโปรตีนไม่ถึง ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพในอนาคตได้ เพราะเมื่ออายุถึงราว 30 ปี มนุษย์จะค่อย ๆ เสียมวลกล้ามเนื้อไปทุกปี และจะเสียมากขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจส่งผลต่อสุขภาพ และเกิดปัญหาด้านการเคลื่อนไหว และการใช้ชีวิตในด้านอื่นในอนาคตได้
เราเลยเห็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับโปรตีนมากขึ้น ทั้งเครื่องดื่มโปรตีนจากสัตว์ จากพืชเพื่อให้ร่างกายได้รับโปรตีนตามที่ร่างกายต้องกัน ซึ่งคนทั่วไปจะอยู่ที่ 0.75 ถึง 1 กรัม/น้ำหนักตัว/วัน ส่วนคนที่ออกกำลังกาย เพิ่มกล้ามเนื้อ หรือต้องการสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายจะอยู่ที่ 1.5 ถึง 2 กรัม/น้ำหนักตัว/วัน
ดูแลสุขภาพจิตเหมือนสุขภาพกาย
จำนวนของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า และโรคทางอารมณ์ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก มาพร้อมกับความตระหนักถึงความสำคัญของโรคนี้ด้วย คนยุคปัจจุบันเริ่มเข้าใจคอนเซปต์ของการดูแลสุขภาพจิตกันมากขึ้น และเริ่ม Normalize หรือทำให้เรื่องสุขภาพจิตเป็นเรื่องปกติ ผู้คนสามารถพูดคุยกับนักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์ได้โดยที่ไม่ต้องป่วย และไม่ต้องกังวลที่จะถูกคนรอบข้างตัดสิน ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีปัญหาสุขภาพจิตก็ตาม
ในหลายประเทศเริ่มมีการผลักดันให้การปรึกษาด้านสุขภาพจิตกลายเป็นสวัสดิการจากรัฐ และครอบคลุมคนทุกช่วงวัยตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงผู้สูงอายุเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต และความสุขของคนในสังคม
สุขภาพที่มาพร้อมกับความยั่งยืน
Sunstainablity หรือความยั่งยืนเป็นคีย์เวิร์ดที่เราได้ยินเพิ่มขึ้นหลายเท่าในช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มักหมายถึงความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเทรนด์การดูแลสุขภาพมีความเกี่ยวข้องกับยั่งยืนในหลายมิติ เช่น อาหารวีแกนเพื่อลดการเลี้ยงปศุสัตว์ที่สร้างแก๊สเรือนกระจก การเลือกผักปลอดสารพิษเพื่อลดการใช้สารเคมี การเลือกกินวัตถุดิบในท้องถิ่นเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากการขนส่ง และการเลือกใช้สกินแคร์ที่ไม่ทดลองในสัตว์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ความยั่งยืนยังรวมถึงในแง่อื่นนอกจากสิ่งแวดล้อมด้วย อย่างการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพจากผู้ประกอบการที่รับผิดชอบต่อสังคม โปร่งใส และไม่เอารัดเอาเปรียบลูกจ้าง
Smarter Wearable
เดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็มีสมาร์ตวอตช์ติดข้อมือกัน ปัจจุบันฟีเจอร์หลักเกี่ยวกับสุขภาพของอุปกรณ์เหล่านี้ในด้านของความหลากหลายในการติดตามค่อนข้างถึงทางตัน แต่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจากกระแสการดูแลสุขภาพ
โดยการพัฒนาส่วนใหญ่เน้นไปที่เพิ่มความแม่นยำในการติดตามที่มากขึ้น อย่างการเดิน การวิ่ง GPS อัตราการเต้นของหัวใจ การนอนหลับ ออกซิเจนในเลือด และระดับความเครียด รวมทั้งการนำข้อมูลที่ได้ไปประมวลผลเพื่อออกแบบแผนการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล และเป็นไปได้ว่าปี 2024 เราอาจได้เน้นแกดเจ็ตสุขภาพแบบสวมใส่ในรูปแบบอื่นมากขึ้น
เทรนด์สุขภาพพัฒนาไปเร็วมาก ซึ่งที่ได้รวบรวมมาในบทความนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น และอาจมีการเปลี่ยนแปลงอีกได้เหมือนกัน แต่สิ่งที่อธิบายเทรนด์สุขภาพในปี 2024 และปีต่อ ๆ ได้ดี น่าจะเป็น Prevention Is Better Than Cure เพราะคนเริ่มหันมาหาวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็ตามที่จะช่วยให้เขาสุขภาพดี และห่างไกลจากโรคมากขึ้น
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส