คุณเคยรู้สึกแบบนี้ไหม ? ตื่นเช้ามาวันหนึ่ง คุณรู้สึกปวดหัวนิด ๆ แทนที่จะดื่มน้ำเพิ่ม หรือพักผ่อนสักหน่อย คุณกลับคว้าสมาร์ตโฟนขึ้นมา เปิด Google แล้วพิมพ์ว่า “ปวดหัวตอนเช้า สาเหตุ”

15 นาทีผ่านไป คุณกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาการปวดหัวไปแล้ว แถมยังเริ่มกังวลว่าตัวเองอาจเป็นโรคร้ายแรงอะไรสักอย่าง เช่น เนื้องอกในสมอง ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่แค่ปวดหัวธรรมดา

หากคุณเคยเจอสถานการณ์ดังที่กล่าวมานี้ อยากให้รู้ไว้ว่า คุณอาจกำลังเผชิญกับอาการที่เรียกว่า “Cyberchondria” หรือ “อาการยิ่งค้นยิ่งป่วย” อยู่

Cyberchondria คืออะไร ?

Cyberchondria เป็นคำที่ผสมระหว่าง “Cyber” (ไซเบอร์) และ “Hypochondria” (โรคจิตที่คิดว่าตัวเองป่วย ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ป่วย) คือพฤติกรรมที่คนเราใช้อินเทอร์เน็ตค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพมากเกินไป จนเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองโดยไม่จำเป็น

ลองนึกภาพว่าคุณเป็นนักสืบที่พยายามไขคดีปริศนาเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเอง แต่แทนที่จะได้คำตอบที่ชัดเจน คุณกลับพบเจอแต่เบาะแสที่ชวนให้สับสนและกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นแหละคือ Cyberchondria

ทำไมเราถึง “ยิ่งค้นยิ่งป่วย” ?

  1. ข้อมูลล้นหลาม: อินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยข้อมูลมากมาย ทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง การแยกแยะว่าข้อมูลไหนน่าเชื่อถือจึงไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก
  2. อคติในการเลือกข้อมูล: เรามักจะเชื่อข้อมูลที่สอดคล้องกับความกังวลของเรามากกว่า เช่น ถ้าเราคิดว่าเราป่วย เราก็มักจะสนใจแต่ข้อมูลที่บอกว่าเราป่วยจริง ๆ เป็นต้น
  3. การนำเสนอข้อมูลที่น่ากลัว: เว็บไซต์หลายแห่งชอบนำเสนอข้อมูลในแง่ลบหรือน่ากลัว เพื่อดึงดูดความสนใจ ยิ่งทำให้เรากังวลมากขึ้น
  4. ขาดความรู้ทางการแพทย์: เพราะคนทั่วไปไม่ได้มีความรู้ทางการแพทย์มากพอที่จะวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง การอ่านข้อมูลออนไลน์จึงอาจทำให้เข้าใจผิดได้ง่ายขึ้น
  5. ความเครียดและความวิตกกังวล: เมื่อเรายิ่งเครียดหรือกังวล เราก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะตีความอาการของเราไปในทางที่แย่ที่สุด

ผลกระทบของ Cyberchondria: เมื่อ Dr. Google ทำร้ายคุณ

แน่นอนว่าการหาข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพออนไลน์ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป แต่เมื่อเป็น Cyberchondria ผลกระทบที่ตามมาอาจไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ไม่ว่าจะเป็น

  1. ความเครียดและวิตกกังวลเพิ่มขึ้น: ยิ่งค้นหา ยิ่งกังวล ยิ่งกังวล ก็ยิ่งค้นหา กลายเป็นวงจรที่อาจทำให้คุณเครียดจนนอนไม่หลับ กินไม่ลง หรือแย่กว่านั้นคือ มีอาการทางกายจริง ๆ จากความเครียดดังกล่าว
  2. เสียเวลาและเสียประสิทธิภาพในการทำงาน: ลองนึกดูว่าคุณใช้เวลากี่ชั่วโมงไปกับการค้นหาข้อมูลสุขภาพ แทนที่จะทำงานหรือใช้เวลากับครอบครัว เพราะ Cyberchondria อาจทำให้คุณหมกมุ่นกับการค้นหาข้อมูลจนละเลยสิ่งสำคัญในชีวิตโดยไม่รู้ตัว
  3. เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น: เมื่อคุณกังวลมากเกินไป คุณอาจตัดสินใจไปพบแพทย์บ่อยครั้งโดยไม่จำเป็น หรือซื้อยาและอาหารเสริมมากเกินความจำเป็น ทำให้เสียค่าใช้จ่ายโดยใช่เหตุ
  4. ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างแย่ลง: การพูดถึงแต่เรื่องสุขภาพและความกังวลของคุณอยู่ตลอดเวลา อาจทำให้คนรอบข้างรู้สึกเบื่อหน่ายได้
  5. ละเลยปัญหาสุขภาพที่แท้จริง: ในขณะที่คุณกังวลกับโรคร้ายแรงที่คุณคิดว่าคุณเป็น คุณอาจละเลยหรือมองข้ามอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ควรได้รับการดูแลจริง ๆ ได้ 

วิธีรับมือกับ Cyberchondria: เมื่อ Dr. Google ไม่ใช่คำตอบเสมอไป

  1. รู้เท่าทันตัวเอง: สังเกตพฤติกรรมของตัวเองว่าคุณกำลัง “ยิ่งค้นยิ่งป่วย” หรือเปล่า ? ถ้าใช่ ลองหยุดและถามตัวเองว่า การค้นหาข้อมูลแบบนี้ช่วยให้คุณสบายใจขึ้นจริง ๆ ไหม
  2. จำกัดเวลาในการค้นหาข้อมูลสุขภาพ: ตั้งกฎให้ตัวเองว่าจะใช้เวลาค้นหาข้อมูลสุขภาพไม่เกินกี่นาทีต่อวัน และพยายามทำตามนั้นให้ได้
  3. เลือกแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ: แทนที่จะเชื่อทุกอย่างที่ค้นเจอ ให้เลือกอ่านจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ เช่น เว็บไซต์ของโรงพยาบาลหรือองค์กรด้านสุขภาพที่มีชื่อเสียง เป็นต้น
  4. พูดคุยกับคนที่คุณไว้ใจ: บางครั้งการได้ระบายความกังวลกับเพื่อนหรือคนในครอบครัว อาจช่วยให้คุณมองเห็นว่าความกังวลของคุณเกินจริงไปหรือเปล่า
  5. หันไปทำกิจกรรมอื่นแทน: เมื่อรู้สึกอยากค้นหาข้อมูลสุขภาพ ลองเบี่ยงเบนความสนใจไปทำอย่างอื่นแทน เช่น ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ หรือดูซีรีส์ตลก
  6. พบแพทย์จริง ๆ: ถ้าคุณกังวลมาก ๆ การไปพบแพทย์จริง ๆ อาจเป็นทางออกที่ดีกว่าการค้นหาข้อมูลไม่รู้จบ เพราะแพทย์สามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับคุณได้มากกว่า Dr. Google แน่นอน

เปลี่ยน Dr. Google ให้กลายเป็นเพื่อนแท้: ใช้อินเทอร์เน็ตอย่างฉลาดเพื่อสุขภาพที่ดี

แม้ว่า Cyberchondria จะเป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งข้อมูลสุขภาพที่มีประโยชน์มหาศาล ถ้าเรารู้จักใช้อย่างถูกวิธี มาดูกันว่าเราจะใช้ Dr.Google ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไรบ้าง

  1. ใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้น ไม่ใช่คำวินิจฉัยสุดท้าย: ข้อมูลออนไลน์สามารถช่วยให้คุณเข้าใจอาการเบื้องต้นได้ แต่อย่าลืมว่ามันไม่สามารถแทนที่การวินิจฉัยจากแพทย์ได้ ดังนั้น จึงควรใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการทำความเข้าใจสุขภาพของคุณ ไม่ใช่จุดจบในการรักษา
  2. เตรียมตัวก่อนพบแพทย์: ค้นข้อมูลเพื่อเตรียมคำถามที่จะถามแพทย์ เพราะการรู้ข้อมูลเบื้องต้นจะช่วยให้คุณสื่อสารกับแพทย์ได้ดีขึ้น และเข้าใจคำอธิบายของแพทย์ได้ง่ายดายขึ้น
  3. ค้นหาวิธีดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน: แทนที่จะค้นหาแต่โรคร้าย ลองหาข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การออกกำลังกาย หรือเมนูอาหารเพื่อสุขภาพดูบ้าง เพราะ “การป้องกันดีกว่าการรักษาเสมอ”
  4. เข้าร่วมชุมชนออนไลน์ด้านสุขภาพ: มีกลุ่มสนับสนุนออนไลน์มากมายสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพคล้ายกัน การแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนอื่น ๆ อาจช่วยให้คุณไม่รู้สึกโดดเดี่ยวและได้เรียนรู้วิธีจัดการกับปัญหาสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น
  5. ใช้แอปพลิเคชันติดตามสุขภาพ: มีแอปฯ มากมายที่ช่วยติดตามการออกกำลังกาย การนอนหลับ หรือแม้แต่อารมณ์ของคุณ ข้อมูลเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณเข้าใจสุขภาพของตัวเองได้ดีขึ้น และอาจเป็นประโยชน์เมื่อต้องไปปรึกษาแพทย์
  6. เรียนรู้ทักษะการปฐมพยาบาลออนไลน์: อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีในการเรียนรู้ทักษะการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ในสถานการณ์ฉุกเฉินได้

Cyberchondria เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ง่ายในยุคที่ข้อมูลอยู่แค่ปลายนิ้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องกลัวการค้นหาข้อมูลสุขภาพทางออนไลน์ สิ่งสำคัญคือการรู้จักใช้อย่างชาญฉลาดมากกว่า

เปรียบเสมือนกับการกินอาหาร ที่เราทุกคนต่างรู้ดีว่าการกินอาหารมากเกินไป หรือกินแต่อาหารไม่ดีย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องหยุดกินอาหารไปเลย แต่เลือกกินอย่างฉลาดและพอดีก็พอ การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อหาข้อมูลสุขภาพก็เช่นกัน เราก็ต้องรู้จักเลือก รู้จักพอ และที่สำคัญที่สุดคือรู้จักฟังเสียงของตัวเองและผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ

ดังนั้น ในครั้งหน้าหากคุณอยากจะพิมพ์อาการของคุณลงใน Google อยากให้ลองถามตัวเองก่อนว่า “ฉันกำลังค้นหาข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจตัวเองมากขึ้น หรือกำลังหาเหตุผลเพื่อกังวลมากขึ้นกันแน่นะ ?” ได้คำตอบแล้วค่อยค้นนะ จำไว้ว่า สุขภาพที่ดีไม่ได้มาจากการรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ แต่มาจากการดูแลตัวเองอย่างสมดุล ทั้งกาย ใจ และจิตวิญญาณ 

และถ้าวันไหนคุณรู้สึกว่า Dr. Google กำลังทำให้คุณป่วยมากกว่าหาย อย่าลืมว่ายังมีหมอตัวจริงที่พร้อมจะช่วยเหลือคุณเสมอ

สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกคนมีสุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ และอย่าลืมว่า บางครั้งการปิดหน้าจอแล้วออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ อาจเป็นยาที่ดีที่สุดสำหรับ Cyberchondria ก็ได้นะ