ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความเครียดและความกดดัน โรคจิตเวชกลายเป็นปัญหาที่พบบ่อยมากขึ้นในสังคมไทย โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานที่ต้องเผชิญกับภาระหน้าที่และความท้าทายต่าง ๆ มากมาย บทความนี้จึงขอพาทุกคนไปรู้จักกับ “โรคจิตเวช” ที่พบบ่อยในหมู่คนไทย เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจ ป้องกัน และรักษาโรคเหล่านี้ได้อย่างทันท่วงที

1. โรคซึมเศร้า: โรคยอดฮิตที่ใคร ๆ ก็เป็นได้

โรคซึมเศร้า (Depression หรือ Major Depressive Disorder: MDD) โรคที่คุ้นเคยของคนไทยใน ปัจจุบัน และเป็นโรคจิตเวชที่พบบ่อยที่สุดในประเทศไทย คือพบได้ประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด โดยอาการของโรคซึมเศร้านี้มีอยู่หลากหลายอาการ ไม่ว่าจะเป็นรู้สึกเศร้า หดหู่ เบื่อหน่าย ไม่อยากทำอะไร รู้สึกไร้ค่า นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร รู้สึกสิ้นหวัง หงุดหงิดง่าย รู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระของผู้อื่น และอาจมีอาการทางกายร่วมด้วย เช่น อาการปวดหัว ปวดท้อง อาหารไม่ย่อย 

หากมีอาการดังกล่าวมากกว่า 2 สัปดาห์ ควรพบจิตแพทย์เพื่อประเมินอาการ เพราะความอันตรายของโรคนี้คือ อาจนำไปสู่การทำร้ายตัวเอง หรือความพยายามในการทำอัตวินิบาตกรรมของผู้ป่วยได้

2. โรควิตกกังวล: กังวลเกินเหตุจนส่งผลต่อชีวิต

โรควิตกกังวล (Anxiety Disorders) เป็นโรคจิตเวชที่พบได้บ่อยอีกโรคหนึ่ง โดยพบได้ประมาณ 5-10% ของประชากรไทย อาการของโรควิตกกังวลนั้นก็มีหลากหลายเช่นกัน เช่น ความรู้สึกกังวลใจอยู่ตลอดเวลา รู้สึกกลัว รู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกหงุดหงิดง่าย รู้สึกร้อนรน เหงื่อออก มือสั่น ใจสั่น หายใจไม่สะดวก รู้สึกเหมือนจะตาย กลัวตาย กลัวสถานที่ต่าง ๆ กลัวการเข้าสังคม เป็นต้น 

3. โรคแพนิก: อาการเหมือนจะตายเฉียบพลัน

โรคแพนิกหรือโรคตื่นตระหนก (Panic Disorder) เป็นโรคจิตเวชที่รุนแรงชนิดหนึ่ง ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายกับจะตายเฉียบพลัน โดยอาการของโรคแพนิกมักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและรุนแรง คือผู้ป่วยจะมีอาการใจสั่น หายใจลำบาก เหงื่อออก ตัวสั่น รู้สึกเหมือนกำลังจะตาย กลัวตาย รู้สึกเหมือนจะคลั่ง รู้สึกเหมือนจะหมดสติ เป็นต้น บางครั้งอาจทำให้ผู้ป่วยสับสนกับอาการของโรคหัวใจวาย 

โดยแต่ละครั้งจะมีอาการดังกล่าวอยู่ประมาณ 10 – 20 นาที และหายเป็นปกติ แต่หากมีอาการแพนิกเกิดขึ้นแล้วมีอาการอื่น ๆ ตามมา เช่น ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ หมกมุ่น พฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ไม่กล้าไปไหนคนเดียว ควรรีบไปปรึกษาจิตแพทย์

4. โรคไบโพลาร์: อารมณ์แปรปรวนสุดขั้ว

โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) เป็นโรคจิตเวชที่มีลักษณะของอารมณ์แปรปรวนสุดขั้ว ผู้ป่วยจะมีอารมณ์ที่เหวี่ยงวูบไปมาระหว่างสองขั้ว คือ ช่วงแมเนีย คืออารมณ์ดีหรือก้าวร้าวผิดปกติ (Mania หรือ Hypomania) และอารมณ์ซึมเศร้าผิดปกติ (Depressed หรือ Major depressive episode) 

อาการของโรคไบโพลาร์ช่วงแมเนียที่เราสามารถสังเกตได้ ได้แก่ การอารมณ์ดีอย่างผิดปกติ พูดมากกว่าปกติ นอนน้อย คิดเร็ว ทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย รู้สึกไม่อยากนอน รู้สึกมีพลัง รู้สึกพิเศษ รู้สึกเหนือกว่าคนอื่น ส่วนอาการของโรคไบโพลาร์ช่วงซึมเศร้านั้นก็จะมีอาการเช่นเดียวกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า นั่นคือ รู้สึกเศร้า หดหู่ เบื่อหน่าย ไม่อยากทำอะไรเลย รู้สึกไร้ค่า นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร รู้สึกสิ้นหวัง หงุดหงิดง่าย รู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระของผู้อื่น และอาจมีอาการทางกาย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง อาหารไม่ย่อย เป็นต้น ซึ่งอาจนำไปสู่การทำร้ายตัวเองได้เช่นเดียวกัน

5. โรคย้ำคิดย้ำทำ: คิดวนเวียน ทำซ้ำ ๆ จนรบกวนชีวิต

โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-Compulsive Disorder: OCD) เป็นโรคจิตเวชที่มีลักษณะของความคิดวนเวียนซ้ำ ๆ หรือมีพฤติกรรมซ้ำ ๆ โดยผู้ป่วยมักจะมีความคิดกังวล รู้สึกกลัว หรือรู้สึกไม่สบายใจ และพยายามขจัดความคิดเหล่านี้โดยการทำพฤติกรรมซ้ำ ๆ เช่น ล้างมือซ้ำ ๆ ตรวจสอบสิ่งต่าง ๆ ซ้ำ ๆ นับเลขซ้ำ ๆ เป็นต้น

ปัจจัยเสี่ยงโรคจิตเวช

โรคจิตเวชเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ ทั้งปัจจัยทางพันธุกรรม ปัจจัยทางชีวภาพ ปัจจัยทางจิตวิทยา รวมไปถึงปัจจัยทางสังคมและสิ่งแวดล้อม

  • ปัจจัยทางพันธุกรรม: มีงานวิจัยที่บ่งชี้ว่า โรคจิตเวชบางชนิด เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล โรคไบโพลาร์ และโรคจิตเภท (Schizophrenia) หรืออาการประสาทหลอน มีแนวโน้มที่จะพบในบุคคลที่มีญาติเป็นโรคเหล่านี้เช่นกัน
  • ปัจจัยทางชีวภาพ: สารเคมีในสมอง เช่น ฮอร์โมน สารสื่อประสาท และโครงสร้างสมอง อาจมีบทบาทต่อการเกิดโรคจิตเวชทั้ง 5
  • ปัจจัยทางจิตวิทยา: ประสบการณ์ในวัยเด็ก เหตุการณ์รุนแรงที่ผ่านมา ความเครียด และปัญหาความสัมพันธ์ อาจส่งผลต่อสุขภาพจิตและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคจิตเวช เช่น โรควิตกกังวล แพนิก ได้
  • ปัจจัยทางสังคมและสิ่งแวดล้อม: ปัจจัยทางสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาความยากจน การถูกเลือกปฏิบัติ การกลั่นแกล้ง ความรุนแรง และสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อสุขภาพจิต ล้วนส่งผลต่อความเสี่ยงของโรคจิตเวชได้ โดยเฉพาะโรคซึมเศร้า

การป้องกันโรคจิตเวช

แม้ว่าโรคจิตเวชจะเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ แต่เราสามารถป้องกันโรคเหล่านี้ได้โดย:

  • ดูแลสุขภาพจิต: หาเวลาผ่อนคลาย ออกกำลังกาย ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เรียนรู้วิธีจัดการความเครียด และฝึกฝนการคิดบวก
  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดี: ใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนฝูง พูดคุยกับคนที่ไว้ใจได้ แสดงความรู้สึกและความต้องการ
  • ขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น: หากรู้สึกว่าตนเองหรือคนรอบข้างมีอาการของโรคจิตเวช ควรขอคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต

การรักษาโรคจิตเวช

โรคจิตเวชสามารถรักษาให้หายหรือดีขึ้นได้ โดยวิธีการรักษามีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับชนิดของโรค อาการ และความรุนแรงของโรค โดยทั่วไปแล้ววิธีการรักษาจะประกอบไปด้วย

  • การบำบัดทางจิต: มีหลายรูปแบบ เช่น การบำบัดพฤติกรรม การบำบัดแบบองค์รวม การบำบัดโดยใช้ศิลปะดนตรี และการบำบัดแบบกลุ่ม
  • ยา: แพทย์อาจสั่งยาเพื่อรักษาอาการของโรค เช่น ยารักษาซึมเศร้า ยารักษาอาการวิตกกังวล ยารักษาโรคไบโพลาร์ และยารักษาโรคจิตเภท
  • การรักษาทางเลือก: มีหลายวิธี เช่น การฝังเข็ม การนวด การโยคะ และการทำสมาธิ เป็นต้น

แหล่งข้อมูลและขอความช่วยเหลือ

หากท่านต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคจิตเวช หรือต้องการขอความช่วยเหลือ สามารถติดต่อได้ที่:

  • สายด่วนสุขภาพจิต 1323
  • กรมสุขภาพจิต: https://dmh.go.th/

โรคจิตเวชเป็นโรคที่พบบ่อยและสามารถรักษาให้หายได้ หากคุณรู้สึกว่าตนเองหรือคนรอบข้างมีอาการของโรคจิตเวช ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เพราะการรักษาโรคจิตเวชในปัจจุบันมีประสิทธิภาพสูง ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข…อย่ามองข้ามหรือละเลยสุขภาพจิตของตัวเองและคนรอบข้างนะครับ 🙂

***ข้อมูลในบทความนี้เป็นข้อมูลทั่วไปเพื่อความรู้เท่านั้น ไม่ควรใช้แทนคำแนะนำทางการแพทย์ หากมีข้อกังวลเกี่ยวกับสุขภาพจิตของตัวเองหรือคนรอบข้าง ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตนะครับ

———————————-

แหล่งอ้างอิง:

  • กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข: https://dmh.go.th/
  • สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย: https://www.psychiatry.or.th/home/
  • สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นกรมสุขภาพจิต: https://www.camri.go.th/