มนุษย์เราส่วนใหญ่ต่างมีเป้าหมายว่าในตอนวัยชราทำงานไม่ไหว ควรจะมีเงินสำรองเอาไว้ใช้ ซึ่งที่ผ่านมาการเกษียณจากชีวิตการทำงานในตลาดแรงงานหรือสถานประกอบการจะอยู่ที่ 60 ปี แต่ปัจจุบันมนุษย์เรามีอายุยืนยาวขึ้น และค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็พุ่งสูงขึ้นด้วย ดังนั้นจึงไม่สมเหตุสมผลที่เราจะเกษียณในตอนอายุ 60 ปี ซึ่งหลายคนได้ขยับไปเป็น 65 ปี แต่จะเหมาะสมหรือไม่เรื่องนี้ได้กลายเป็นประเด็นที่ควรฉุกคิดกัน
ลาร์รี ฟิงค์ (Larry Fink) ซีอีโอของ BlackRock บริษัทจัดการการลงทุนได้ส่งความหวังดีไปถึงนักลงทุนของบริษัท ที่มีเป้าหมายจะเกษียณในวัย 60 ปีว่า ปัจจุบันผู้คนมีอายุยืนขึ้น ค่าครองชีพก็พุ่งขึ้น แต่ระบบสวัสดิการกลับแย่ลง จึงเตือนว่าการเกษียณในอายุ 65 ปีอาจเป็นไปไม่ได้ตามที่หลายคนวางแผนไว้ ซึ่ง 30 ปีที่แล้วการวางแผนเกษียณที่ว่ายากแล้วในอีก 30 ปีข้างหน้านั้นยิ่งยากกว่าเข้าไปอีก
ข้อมูลเผยว่าปี 2000 – 2019 ผู้คนมีอายุเพิ่มขึ้นจาก 67 ปีเป็น 73 ปี และในปี 2050 คาดว่า 1 ใน 6 ของคนทั่วโลกจะมีอายุ 65 ปีหรือมากกว่านั้น ซึ่งในหลายประเทศจะมีคนเกษียณจากการทำงานมากกว่าคนที่เข้าไปทำงาน สรุปง่าย ๆ ว่าตลาดแรงงานจะขาดคนทำงาน รวมถึงความก้าวหน้าด้านสุขภาพและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป การเกษียณอายุตอน 65 ปี อาจจะไม่สมจริงในโลกยุคใหม่ก็เป็นได้
ปัจจุบันนี้ผู้คนอายุยืนยาวขึ้น มีคนอายุ 80 ปีจำนวนมากที่ยังเร่ร่อนและสุขภาพแข็งแรง แต่ดูเหมือนว่าสวัสดิการของรัฐบาลไม่ได้ออกแบบไว้รองรับคนวัย 80 ปี และ 90 ปี แต่ก็มีบางคนได้ออมเงินเพื่อการเกษียณเสริมจากสวัสดิการของรัฐ นอกจากนี้อดีตคนทำงานจำนวนมากไม่มีเงินออมที่เพียงพอ เนื่องจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น เงินที่ออมไว้มูลค่าจึงไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าไรนัก
ในอดีตผู้คนจะมีมรดกสืบทอดต่อกันมาจากปู่ย่าตายายมาจนถึงลูกหลาน แต่เมื่อมรดกที่เคยมีหมดไป จึงทำให้ผู้คนทั่วโลกต้องทำงานต่อไปจนอายุมากกว่า 65 ปี เพื่อจะได้มีเงินออมเพียงพอสำหรับการเกษียณ ดังนั้นเพื่อการเกษียณที่สบาย ฟิงค์จึงแนะนำให้มีการลงทุนอย่างจริงจังโดยเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อยและทำงานจนอายุเกิน 65 ปี ซึ่งรัฐบาลอังกฤษได้ระบุเป้าหมายเกษียณระหว่างปี 2026 – 2028 เพิ่มจาก 66 ปี เป็น 67 ปี และคาดว่าเป็น 68 ปี หลังจากปี 2044 ส่วนฟิงค์คิดว่าน่าจะเปลี่ยนใหม่จากเดิม 65 ปี เป็น 75 ปี