ตอนนี้มีงานวิจัยชิ้นใหม่ออกมาบอกว่าไวรัสสายพันธุ์ที่กำลังแพร่กระจายอยู่ตอนนี้มีอัตราการแพร่กระจายเชื้อหรือที่เรียกว่า R Number (R Nought, R0) เพิ่มขึ้นระหว่าง 0.4 – 0.7 แล้ว

ศาสตราจารย์ Axel Gandy จากมหาวิทยาลัย Imperial, London กล่าวกับสำนักข่าว BBC News ว่า เชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่แตกต่างกับสายพันธุ์เก่าตรงที่มันมีอัตราการแพร่กระจายของเชื้อที่มากขึ้น ซึ่งอัตรา R Number ในสหราชอาณาจักรล่าสุดอยู่ที่ 1.1 ถึง 1.3 หากเราต้องการให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง อัตราการแพร่เชื้อจำเป็นจะต้องเป็น 1.0 หรือต่ำกว่านั้น ด้วยความที่มันแพร่กระจายได้ง่ายขึ้นจึงเป็นกรณีที่น่าเป็นห่วงที่สุดตั้งแต่เกิดการระบาดขึ้น

R Number หรือ R0 (อาร์ศูนย์) คือค่าที่ระบุการแพร่กระจาย เช่นถ้า R0 = 2 ก็หมายถึงผู้ป่วย 1 คนมีความเป็นไปได้ที่จะกระจายเชื้อให้ 2 คน

งานวิจัยจากมหาวิยาลัย Imperial ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาไวรัสตัวเก่ามีอัตราการแพร่ระบาดลดลง 3 เท่าในขณะที่ไวรัสตัวใหม่มีอัตราการแพร่กระจายเพิ่มขึ้น 3 เท่า ในการแพร่ระบาดครั้งที่ 2 รวมถึงช่วงอายุของผู้ติดเชื้อ ไวรัสตัวเก่ามักจะแพร่กระจายในกลุ่มคนอายุต่ำกว่า 20 และวัยเรียน แต่ตัวใหม่นี้มีการแพร่ระบาดในทุกช่วงอายุ แต่อย่างไรก็ตามศาสตราจารย์ Axel Gandy อธิบายเพิ่มเติมว่า อาจเป็นไปได้ที่ในช่วงเวลาที่เก็บข้อมูลเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ยังมีการเปิดการเรียนการสอนอยู่ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อในวัยเรียนสูงกว่าผู้ใหญ่ที่ในตอนนั้นเริ่มมีการกักตัวกันมากขึ้น

ผู้ติดเชื้อจะยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีผู้ได้รับวัคซีนเพียงพอ อย่างไรก็ตามการเว้นระยะห่างทางสังคมยังคงเป็นเรื่องสำคัญ การป้องกันตนเอง และการล้างมือยังคงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะตราบใดก็ตามที่เรายังไม่สามารถลดค่า R Number ลงให้น้อยกว่า 1 ได้

ศาสตราจารย์ Lawrence Young จากมหาวิทยาลัย Warwick กล่าวว่า มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่ไวรัสจะเกิดการปรับตัว และกลายพันธุ์เพื่อความอยู่รอดของพวกมันเอง ดังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องวิจัยเพื่อทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่มันสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว แต่ที่สำคัญวัคซีนควรมีผลกับไวรัสตัวใหม่นี้ด้วย ในตอนนี้ไวรัสตัวใหม่ได้รับการกำหนดให้เป็น “Variant of Concern 202012/01” หรือ VOC โดยสาธารณสุขของประเทศอังกฤษ

ไวรัสตัวใหม่นี้ถูกตรวจพบในเดือนพฤศจิกายน และคาดว่ามีต้นกำเนิดทางตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษในเดือนกันยายน ขณะนี้สามารถพบตัวเชื้อได้ทั่วสหราชอาณาจักรยกเว้น Ireland เหนือ พบมากที่สุดใน London เช่นเดียวกับอังกฤษตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันออก

อ้างอิง BBC News