ถือเป็นข่าวดีของอังกฤษเมื่อนายกรัฐมนตรี Boris Johnson อนุมัติใช้วัคซีน Moderna เป็นวัคซีนตัวที่ 3 ที่สามารถใช้ได้ในสหราชอาณาจักร หลังจากที่อนุมัติใช้ Pfizer และ AstraZeneca ก่อนหน้านี้
Moderna เป็นวัคซีนสัญชาติอเมริกาที่ถูกผลิตขึ้นโดยบริษัท Moderna วัคซีนตัวนี้ทำงานเหมือนกับ Pfizer วัคซีนตัวแรกที่ระบบสาธารณสุขอังกฤษอนุมัติ สหราชอาณาจักรสั่งซื้อวัคซีน Moderna ล่วงหน้าถึง 17 ล้านโดส มากกว่าที่วางแผนไว้ 10 ล้านโดส แต่ด้วยจำนวนสั่งซื้อจำนวนมากคาดว่าทำให้ต้องรอผลิตไปจนถึงเดือนมีนาคม-พฤษภาคมที่จะถึงนี้
ขณะนี้ Moderna ถือเป็นวัคซีนตัวล่าสุดที่มีรายงานผลการทดลองขั้นสุดท้าย ในขณะที่วัคซีนตัวอื่น ๆ กำลังเร่งพัฒนา ซึ่งทางหน่วยงานกำกับดูแลของสหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกาก็ได้อนุมัติวัคซีน Moderna แล้วเช่นกัน
ประชาชนชาวอังกฤษกว่า 1.5 ล้านคน ได้รับวัคซีน Pfizer หรือ AstraZeneca อย่างน้อย 1 เข็มแล้ว และ 1 ใน 4 ของประชากรที่ได้รับวัคซีนเป็นผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 80 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ ตามเงื่อนไขที่ว่าวัคซีนจะถูกฉีดให้กับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งอังกฤษจัดรายการผู้มีความเสี่ยงสูงไว้ 9 ระดับคือ
- เจ้าหน้าที่ และผู้อาศัยในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ
- ผู้มีอายุมากกว่า 80 ปีขึ้นไป และเจ้าหน้าที่แพทย์ในแนวหน้า
- ผู้มีอายุ 75 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไปและบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงทางคลินิก (ไม่รวมสตรีมีครรภ์และผู้ที่อายุต่ำกว่า 16 ปี)
- ทุกคนที่อายุ 65 ปีขึ้นไป
- ผู้ใหญ่อายุ 16 ถึง 65 ปีในกลุ่มเสี่ยง (โรคประจำตัวต่าง ๆ )
- ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
- ทุกคนที่อายุ 55 ปีขึ้นไป
- ทุกคนที่อายุ 50 ปีขึ้นไป
เงื่อนไขผู้มีความเสี่ยงสูงทั้ง 9 นี้ครอบคลุมประชากร 30 ล้านคนในอังกฤษ นายกรัฐมนตรีอังกฤษกล่าวว่า เขามีจุดมุ่งหมายที่จะฉีดวัคซีนให้ประชากรให้ได้ 15 ล้านคนภายในกลางเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งรวมถึงผู้อยู่อาศัยในบ้านพักคนชรา เจ้าหน้าที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขแนวหน้าทุกคน คนที่มีอายุมากกว่า 70 ปีและผู้ที่มีความเสี่ยงทางคลินิกด้วย โดยรวมแล้วขณะนี้สหราชอาณาจักรได้สั่งซื้อวัคซีน 367 ล้านโดสเพื่อป้องกัน Covid-19
อย่างไรก็ตามไม่มีวัคซีนตัวไหนที่ได้ผล 100% ทั้งนี้ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วก็ยังจำเป็นที่จะต้องดูแลตนเองอยู่ดี
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส