นายกรัฐมนตรี สก็อต มอร์ริสัน (Scott Morrison) กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ออสเตรเลียได้เพิ่มคำสั่งซื้อวัคซีน Pfizer เป็นสองเท่า เนื่องจากประเทศต้องการเร่งแผนการฉีดวัคซีน แต่ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดอุตันที่เกิดจากผลข้างเคียงของวัคซีน AstraZeneca
ก่อนหน้านี้รัฐบาลออสเตรเลียได้จัดเตรียมวัคซีน AstraZeneca จำนวน 50 ล้านโดส ที่ผลิตในประเทศโดยบริษัท Biopharma CSL ซึ่งเพียงพอต่อการฉีดวัคซีนสำหรับประชากรทั้งหมด 25 ล้านคน แต่เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการแข็งตัวของเลือด ออสเตรเลียจึงได้เข้าร่วมกับประเทศต่าง ๆ ในการจำกัดการใช้วัคซีน หน่วยงานสาธารณสุขท้องถิ่นได้แนะนำให้ประชากรที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี ราว 12 ล้านคนใช้วัคซีนจาก Pfizer แทน เป็นผลให้ออสเตรเลียเพิ่มคำสั่งซื้อวัคซีน Pfizer เป็นสองเท่าจากก่อนหน้ารวมทั้งสิ้น 40 ล้านโดส โดยจำนวนวัคซีนดังกล่าวเพียงพอสำหรับจำนวนประชากร 4 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด มอร์ริสันกล่าวว่าวัคซีนที่สั่งจะส่งมอบภายในสิ้นปีนี้
โดยการเปลี่ยนแผนการใช้วัคซีนเป็นวัคซีน Pfizer ทำให้แผนที่ต้องการให้ประชากรทั้งหมดฉีดวัคซีนภายในสิ้นเดือนตุลาคมต้องยุติลง มอร์ริสันกล่าวกับสื่อว่า “ไม่ได้มีข้อห้ามในการฉีดวัคซีนจาก AstraZeneca สำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ยังสามารถฉีดวัคซีน AstraZeneca ได้ตามปกติ”
เบรนแดน เมอร์ฟี่ (Brendan Murphy) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวว่าเป็นนโยบาย ‘ข้อควรระวัง’ ที่จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่ำในการได้รับผลข้างเคียงที่เกิดจากวัคซีน AstraZeneca”
อ้างอิง CNBC
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส