Johnson & Johnson กล่าวว่า การได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของ J&J เข็มที่ 2 หลังจากเข็มแรกประมาณ 2 เดือนจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงถึง 94% ในสหรัฐอเมริกา โดยจะช่วยป้องกันการเกิดอาการระดับปานกลางถึงรุนแรง เทียบกับเข็มแรกที่ช่วยป้องกันได้ 70%
การแพร่ระบาดระลอกล่าสุดในสหรัฐอเมริกาทำให้โจ ไบเดน (Joe Biden) พยายามส่งเสริมเรื่องวัคซีนเสริมภูมิ (booster shot) เพื่อต่อสู้กับปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตา ที่ทำให้มีผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลเพิ่มสูงขึ้น
ในขณะเดียวกัน J&J ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนแบบฉีดโดสเดียวก็ถูกกดดันโดยรัฐบาลว่า ต้องมีหลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนเข็มที่ 2 โดยผลข้อมูลล่าสุดอาจช่วยให้ J&J สามารถยื่นเรื่องต่อหน่วยงานในกำกับดูแลของสหรัฐฯ เพื่อใช้เป็นวัคซีนกระตุ้นภูมิ แม้บริษัทจะเน้นย้ำว่า วัคซีนแบบเข็มเดียวของบริษัทจะช่วยบรรเทาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกได้ก็ตาม
J&J ระบุว่า วัคซีนกระตุ้นภูมิ ซึ่งเป็นโดสที่ 2 จะช่วยเพิ่มระดับแอนติบอดีได้มากถึง 4 ถึง 6 เท่า หลังจากการฉีดวัคซีนโดสแรก 2 เดือน และหากฉีดวัคซีนโดสที่ 2 หลังจากได้รับวัคซีนโดสแรก 6 เดือนก็จะทำให้ระดับแอนติบอดีเพิ่มขึ้น 12 เท่า
สำหรับผลข้างเคียงของวัคซีน J&J เข็มที่ 2 พบว่า มีความใกล้เคียงกับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับวัคซีนเข็มแรก ซึ่งข้อมูลจะถูกเผยแพร่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
บริษัทกล่าวว่า การศึกษาอีกชิ้นจากการฉีดวัคซีนของ J&J ให้กับประชากรจำนวน 400,000 คนในสหรัฐอเมริกาพบว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพสูงถึง 79% ในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 และมีประสิทธิภาพ 81% ในการป้องกันการเกิดอาการรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาล เมื่อเปรียบเทียบกับประชากรจำนวน 1.52 ล้านคนที่มีเพศ อายุ และปัญหาสุขภาพคล้ายกัน ซึ่งไม่ได้รับการฉีดวัคซีน
อ้างอิง: Reuters
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส