ในวันที่ 15 พ.ย. 21 ออสเตรียสั่งล็อกดาวน์ประชากรกลุ่มที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนา ซึ่งเป็นช่วงเข้าใกล้ฤดูหนาวและมีการระบาดของเชื้อโควิด-19 ไปทั่วยุโรป
สถานการณ์โควิด-19 ในยุโรปตอนนี้ถือว่าค่อนข้างน่ากังวล จากการที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนหลายประเทศต้องพิจารณาข้อจำกัดใหม่ในช่วงก่อนวันคริสต์มาส และทำให้เกิดการถกเถียงในวงกว้างว่าการฉีดวัคซีนเพียงอย่างเดียวจะช่วยแก้ปัญหาโควิด-19 ได้หรือไม่
อ้างอิงจาก Reuters พบว่า สัปดาห์ที่ผ่านมายอดผู้ติดเชื้อรายใหม่และยอดผู้เสียชีวิตทั่วโลกจากโควิด-19 กว่าครึ่งนั้นเป็นผู้ติดเชื้อจากโซนยุโรป นับเป็นระดับการติดเชื้อที่สูงที่สุดตั้งแต่เมษายนปี 2020
ปัญหาการแพร่ระบาดนั้นสร้างความกังวลให้กับรัฐบาลรวมถึงบริษัทต่าง ๆ ว่าจะมีผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยออสเตรียก็เป็นหนึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน
อเล็กซานเดอร์ ชาลเลนแบร์ก (Alexander Schallenberg) นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของออสเตรียกล่าวถึงแผนการล็อกดาวน์ประชากรกลุ่มที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนว่า “เป้าหมายของผมนั้นชัดเจนมาก คือการให้คนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนไปฉีดวัคซีน ไม่ใช่การกักขังคนกลุ่มนี้”
แผนการดังกล่าวมีขึ้นเพื่อตอบโต้การเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อ และทำให้มีประชากรที่ได้รับวัคซีนครบถ้วนเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันออสเตรียเป็นหนึ่งในประเทศทางยุโรปตะวันตกที่มีอัตราผู้ได้รับวัคซีนครบถ้วน (Full vaccination rate) ต่ำที่สุดที่ 65%
อ้างอิง: Reuters
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส