ถ้ามองจากภายนอกแล้ว เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) ศิลปินหญิงที่มีชื่อเสียงระดับโลก ได้รับรางวัลแกรมมีมาแล้วกว่า 11 ครั้ง (เธอเป็นศิลปินหญิงคนเดียวที่มีอัลบั้มได้รับรางวัล Album of the Year ถึง 3 ครั้ง) ขายอัลบั้มได้มากกว่า 400 ล้านชุดทั่วโลก มีคนฟังเพลงของเธอ 55 ล้านคนบน Spotify นอกจากนั้นยังมีรางวัลอื่น ๆ อีกมากมายอย่าง Billboard Music Awards 12 รางวัล, American Music Awards 34 รางวัล ถูกบันทึกในรายชื่อ 100 นักแต่งเพลงยอดเยี่ยมตลอดกาล จัดโดยนิตยสาร Rolling Stone เคยติดอันดับ 1 ใน 100 บุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกโดยนิตยสาร Time ในปี 2019 และ Billboard ได้แต่งตั้งให้สวิฟต์เป็นสตรีแห่งทศวรรษ 2010 อีกด้วย
ที่จริงรางวัลเหล่านี้ยังมีอีกยาวเป็นหางว่าว แต่คงไม่สามารถเอามาเขียนทั้งหมดได้ แต่รางวัลเหล่านี้ได้พิสูจน์แล้วว่าเธอเป็นหนึ่งในนักร้องนักแต่งเพลงที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา แต่กว่าเธอจะมาถึงตรงนี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (18 พฤษภาคม 2022) สวิฟต์ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์จบการศึกษาของมหาวิทยาลัย New York University ที่สนามเบสบอลทีม Yankee เล่าถึงเส้นทางที่เธอได้ผ่านมากว่าจะมาถึงวันนี้ได้เธอยกความดีความชอบให้กับช่วงเวลาที่ยากลำบาก โดยเฉพาะตอนที่เธอถูกปฏิเสธและล้มเหลวนั้นมีความหมายมาก เธอบอกว่า
“เมื่อมีคนบอกฉันว่า ‘ไม่’ หรือไม่ได้เป็นส่วนหนึ่ง ไม่ถูกเลือก ไม่ชนะ ไม่ผ่านการคัดเลือก ช่วงเวลาเหล่านี้พอมองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกเลยจริง ๆ ว่ามันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ อาจจะสำคัญกว่าช่วงเวลาที่มีคนยอมรับซะอีก”
เธอกล่าวต่อว่าช่วงเวลาที่หดหู่ใจเหล่านี้ในช่วงที่เธอกำลังค้นหาตัวเอง (ทั้งในชีวิตส่วนตัวและการงาน) ทำให้เธอรู้สึก “โดดเดี่ยวอย่างสิ้นหวัง” เธอจำได้ว่ารู้สึกหดหู่มากเวลาเพื่อน ๆ ไม่ชวนไปนอนค้างที่บ้านด้วย หรือตอนที่เจอผู้บริหารค่ายเพลงบอกปฏิเสธเธอแบบไร้เยื่อใยตอนอายุ 13 ว่า “แม่บ้านอายุ 35 เท่านั้นแหละที่จะฟังเพลงคันทรี่”
ความรู้สึกขมขื่นที่อยู่ในใจเรื่องราวที่เธออยากระบายถูกเขียนออกมาเป็นบทเพลง เธอเก็บตัวอยู่ในห้องแล้วบรรยายออกมาเป็นเพลงไปโพสต์บน MySpace เพื่อเชื่อมต่อกับวัยรุ่นคนอื่น ๆ ที่เป็นแฟนเพลงคันทรี่เหมือนกับเธอผ่านโลกออนไลน์ ความรู้สึกปวดใจที่ถูกมองข้ามและปฏิเสธทำให้เธอรู้สึกเสียใจก็จริง แต่สวิฟต์เลือกที่จะหันมาใช้เวลากับตัวเองและบทเพลงของเธอมากขึ้นจนสุดท้ายมันเริ่มมีคนเห็นและเธอก็ได้เซ็นสัญญาเป็นนักแต่งเพลงในปีต่อมา และได้เซ็นสัญญาเป็นนักร้องในวัย 15 ปี จนกลายมาเป็นอัลบั้มแรกชื่อเดียวกับตัวเอง (Taylor Swift) ที่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีไม่น้อย จนมาดังเป็นพลุแตกในอัลบั้มต่อมาชื่อ ‘Fearless’ ที่กวาดรางวัลแกรมมีไปถึง 4 รางวัลในปี 2010 รวมทั้งรางวัลใหญ่อย่างอัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปี
ความสำเร็จและชื่อเสียงมาพร้อมกับแรงกดดันมหาศาลจากสังคม เธอไม่รู้ว่าต้องรับมือกับมันยังไงดี สับสน และรู้สึกเหมือนโดนเพ่งเล็งอยู่ตลอดเวลา ต้องทำตัวเป็นแบบอย่าง เพอร์เฟ็กต์ไปทุกเรื่อง เธอให้คำแนะนำกับบัณฑิตที่กำลังจะจบใหม่ว่าเราต้องอยู่ร่วมกับความรู้สึกแย่ ๆ แบบนี้ให้ได้
“วันหนึ่งคุณจะพูดอะไรผิดสักอย่าง เชื่อคนผิด ๆ ตอบโต้น้อยไป ตอบโต้มากไป ทำร้ายจิตใจคนที่ไม่ควรถูกทำร้าย และคุณจะปล่อยให้ความรู้สึกผิดกัดกินจนร่วงสู่จุดต่ำที่สุด สุดท้ายแล้วก็จัดการกับความเจ็บปวดที่คุณสร้างขึ้นมา ลองพยายามทำให้ดีขึ้นในครั้งต่อไป ล้างทุกอย่าง แล้วก็ทำอีกรอบ”
สวิฟต์บอกว่าการเดินผ่านความผิดพลาดและการถูกปฏิเสธเหล่านี้จะช่วยเตรียมให้เราสามารถเขียนเส้นทางชีวิตของตัวเองได้ “ประสบการณ์ของฉันบ่งบอกว่าความผิดพลาดได้นำมาซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต และถ้าพลาดแล้วอายล่ะ? มันก็เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิต ลุกขึ้น ปัดฝุ่น และดูว่ายังมีใครที่ยังอยู่เคียงข้างเราหลังจากนั้นและหัวเราะไปด้วยกัน นั่นเป็นของขวัญอันล้ำค่าเลยทีเดียว”
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส