ชาร์ลี มังเกอร์ อดีตรองประธานบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮทาเวย์ ผู้เป็นตำนานแห่งวงการการลงทุน เปรียบเสมือนคู่คิดของวอร์เรน บัฟเฟตต์มายาวนาน เขาไม่เพียงแต่ทิ้งมรดกทางปัญญาไว้เบื้องหลัง แต่ยังฝากบทเรียนอันล้ำค่าไว้แก่คนรุ่นหลัง ทั้งในเรื่องการดำเนินชีวิตและการลงทุน

ในช่วงสุดท้ายของชีวิตมังเกอร์ได้ถ่ายทอดบทเรียนสำคัญที่เขาเชื่อว่าสามารถนำพาคนสู่ความสำเร็จในชีวิตและการทำงาน โดยแต่ละข้อเต็มไปด้วยปรัชญาที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เพื่อไว้เป็นมรดกที่ไม่มีวันเสื่อมคลายสำหรับทุกคนที่อยากเติบโตและก้าวไปข้างหน้าในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เขาได้ฝาก 5 เคล็ดลับที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง สำหรับการประสบความสำเร็จในชีวิตและการทำงาน

วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้กล่าวยกย่อง ชาร์ลี มังเกอร์ ว่าเป็น “สถาปนิกแห่ง Berkshire” ในระหว่างการประชุมผู้ถือหุ้น โดยเปิดวิดีโอคารวะถึงมังเกอร์พร้อมคำพูดที่โดดเด่นจากการประชุมที่ผ่านมา บัฟเฟตต์ยอมรับบทบาทสำคัญของมังเกอร์ในการกำหนดทิศทางของ Berkshire Hathaway พร้อมเน้นว่ามังเกอร์ไม่เคยทำให้เขาเข้าใจผิด และเป็นหุ้นส่วนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการบริหารเงินในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา

บัฟเฟตต์ยังเปรียบความสัมพันธ์ของเขากับมังเกอร์ว่าเป็นเหมือนพี่ชายกับน้องชาย โดยเขารับบทบาท “ผู้รับเหมาทั่วไป” ที่ปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ของมังเกอร์ในทุกวัน และยกย่องว่ามังเกอร์มักให้เกียรติเขาในการรับคำชื่นชมแทนตัวเอง ความถ่อมตนและความสามารถของมังเกอร์ได้สร้างความประทับใจและความเคารพอย่างลึกซึ้งจากผู้เข้าร่วมประชุมและบัฟเฟตต์เอง

ความน่าเชื่อถือคือหัวใจสำคัญ

สองนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ทั้งมังเกอร์และบัฟเฟตต์เชื่อว่า ‘ความน่าเชื่อถือ’ คือหัวใจสำคัญของความสำเร็จ ในมุมมองของพวกเขาทั้งคู่เห็นว่าความน่าเชื่อถือไม่ได้เป็นแค่คุณสมบัติที่ดีงาม แต่เป็นพื้นฐานที่สร้างความไว้วางใจระหว่างคุณกับผู้อื่น ไม่ว่าจะในธุรกิจ ความสัมพันธ์ หรือการใช้ชีวิตส่วนตัว

โดยความน่าเชื่อถือหมายถึง การทำสิ่งที่คุณสัญญาไว้อย่างซื่อสัตย์และต่อเนื่อง หากคุณรับปากหรือมอบหมายงานบางอย่างให้กับตัวเอง คุณต้องทำให้เสร็จสมบูรณ์โดยไม่หาข้อแก้ตัว

ถ้าคุณขาดความน่าเชื่อถือ คุณจะล้มเหลวทันทีไม่ว่าจะมีความสามารถในด้านอื่นมากเพียงใด

ชาร์ลี มังเกอร์

อย่างไรก็ตาม การสร้างความน่าเชื่อถือไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน มันต้องใช้เวลาและการกระทำที่สม่ำเสมอ พิสูจน์ตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณเป็นคนที่ทำตามคำพูดได้จริง และเมื่อคุณทำสำเร็จ ความน่าเชื่อถือที่คุณสร้างขึ้นจะกลายเป็นสมบัติที่ล้ำค่าและส่งผลดีในระยะยาวในทุกด้านของชีวิต

มังเกอร์ยังเสริมถึงความน่าเชื่อถือมีผลต่อความสำเร็จทางการเงินและธุรกิจด้วย เช่น หากคุณดำเนินธุรกิจด้วยความน่าเชื่อถือ ลูกค้าจะกลับมาหาคุณอีกครั้ง นักลงทุนจะมีความมั่นใจที่จะร่วมงานกับคุณ และพนักงานจะรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ทำงานในองค์กรที่ยึดมั่นในคุณค่าเดียวกัน

ดังนั้น การทำให้ตัวเองเป็นคนที่น่าเชื่อถือควรเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ เช่น การตรงต่อเวลา การรักษาสัญญา และการตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดเสมอ เมื่อคุณทำสิ่งเหล่านี้เป็นนิสัย ความน่าเชื่อถือจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนคุณ และจะนำพาคุณไปสู่ความสำเร็จในชีวิตอย่างมั่นคง

ฝึกฝนการคิดย้อนกลับ

อีกหนึ่งแนวคิดที่โด่งดังของมังเกอร์คือ ‘การคิดย้อนกลับ’ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาโดยเริ่มจากการมองหาสิ่งที่อาจผิดพลาดหรือสร้างปัญหา แล้วหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้นแทนการคิดไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว เขาเชื่อว่าการคิดเช่นนี้ช่วยให้เราหลีกเลี่ยงความล้มเหลวและเพิ่มโอกาสความสำเร็จในทุกด้านของชีวิต

วิธีคิดนี้ช่วยให้เรามองปัญหาในมุมที่ต่างออกไป และสามารถระบุอุปสรรคหรือความเสี่ยงที่อาจมองข้ามไปได้ ตัวอย่างที่เขายกมาคือในเกมไพ่บริดจ์ (Bridge) ผู้เล่นที่เก่งจะไม่เพียงถามว่า “ฉันจะทำอย่างไรให้ได้แต้มมากที่สุด?” แต่จะคิดย้อนกลับไปด้วยว่า “อะไรคือสิ่งที่อาจทำให้ฉันเสียแต้มมากที่สุด?” การคิดทั้งสองทางนี้จะช่วยให้การตัดสินใจมีความรอบคอบมากขึ้น

ในชีวิตจริง การคิดย้อนกลับช่วยในหลายสถานการณ์ เช่น หากคุณต้องการความสำเร็จในงาน คุณควรถามตัวเองว่า “อะไรจะทำให้งานนี้ล้มเหลว?” แทนที่จะคิดแค่ “ฉันจะทำให้งานนี้สำเร็จได้อย่างไร” การค้นหาความล้มเหลวที่เป็นไปได้และป้องกันมัน จะเพิ่มโอกาสให้คุณประสบความสำเร็จมากขึ้น

อีกทั้งการคิดย้อนกลับยังสามารถนำไปใช้ในความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือการบริหารชีวิต โดยที่คุณอาจถามตัวเองว่า “อะไรที่จะทำลายความสัมพันธ์นี้?” เช่น การไม่ใส่ใจ การพูดจาไม่ดี หรือการเพิกเฉยต่อความต้องการของอีกฝ่าย การหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

Invert, always invert

Carl Jacobi นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน

เรียนรู้จากคนเก่งและความล้มเหลวของคนอื่น

การเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่นทั้งในแง่ของความสำเร็จและความล้มเหลว เพราะเรานั้นไม่จำเป็นต้องเกิดจากการลองผิดลองถูกด้วยตัวเองเสมอไป แต่สามารถเร่งความสำเร็จได้ด้วยการศึกษาบทเรียนจากผู้อื่นในอดีตและปัจจุบัน

มังเกอร์ยกตัวอย่างแนวคิดการเรียนรู้จากความสำเร็จของคนอื่นในเชิงเปรียบเทียบว่า หากคุณสามารถ “ยืนบนไหล่ของยักษ์” คุณจะสามารถมองเห็นและเข้าใจโลกได้ไกลและกว้างกว่าเดิม ความสำเร็จของคนที่มาก่อนหน้าเราเต็มไปด้วยบทเรียนอันล้ำค่าที่ช่วยให้เราไม่ต้องเสียเวลาไปกับการทดลองที่อาจล้มเหลว

หนังสือประวัติศาสตร์ราคาไม่กี่ร้อยบาท อาจซ่อนบทเรียนที่มีคุณค่าเทียบเท่ากับเงินหลายพันล้านบาท หากคุณตั้งใจที่จะศึกษาและนำมาปรับใช้

ชาร์ลี มังเกอร์

ในขณะเดียวกัน เขายังกล่าวถึง “ความรู้แบบเชิงลึก” และ “ความรู้แบบคนขับรถ” เพื่ออธิบายความแตกต่างของความลึกซึ้งในการเรียนรู้

  • ความรู้แบบเชิงลึก หมายถึง ความเข้าใจเชิงลึกที่ผ่านการศึกษาและประสบการณ์มาอย่างยาวนาน
  • ความรู้แบบคนขับรถ เป็นเพียงความสามารถในการท่องจำหรือเลียนแบบสิ่งที่คนอื่นพูด แต่ขาดการเข้าใจเนื้อหาอย่างแท้จริง

การเรียนรู้จากความล้มเหลวของผู้อื่นนั้นสำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ความผิดพลาดมักจะวนซ้ำในรูปแบบเดิม เช่น การล้มละลายในธุรกิจ การตัดสินใจที่ขาดข้อมูล หรือความประมาทในชีวิตส่วนตัว โดยมังเกอร์เตือนให้พวกเราสังเกตรูปแบบของความล้มเหลวเหล่านี้ และเรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงพวกมัน

รวมถึงมังเกอร์ยังเน้นถึง ‘ความอ่อนน้อมถ่อมตน’ ในการเรียนรู้จากทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว เนื่องจากเหล่าคนที่มั่นใจในตัวเองมากเกินไปและไม่เปิดใจรับฟังบทเรียนจากผู้อื่น มักจะพลาดโอกาสสำคัญในชีวิต

ดังนั้น การรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างและการสังเกตข้อผิดพลาดของผู้อื่นเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เราเติบโตและประสบความสำเร็จในระยะยาว

เตรียมตัวรับมือกับความลำบาก

“ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ” เราต้องพร้อมรับมือกับปัญหาและความไม่ยุติธรรมที่อาจเกิดขึ้นในชีวิต อย่างไรก็ตาม มังเกอร์เชื่อว่า การเตรียมพร้อมและมองปัญหาเป็นโอกาสในการเรียนรู้ ช่วยให้เราเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่จมอยู่กับความทุกข์อันยากลำบาก

ในทุก ๆ ความลำบากนั้นแฝงไว้ด้วยบทเรียนสำคัญ หากเรามองมันเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง แทนที่จะจมอยู่ในความเสียใจหรือความทุกข์ จะสามารถเปลี่ยนความลำบากให้กลายเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ได้

โดยในเชิงปฏิบัติ มังเกอร์แนะนำให้เราฝึกมองสถานการณ์ในมุมมองที่หลากหลาย เช่น การคิดถึง “สิ่งที่แย่ที่สุดที่อาจเกิดขึ้น” และถามตัวเองว่าเรามีแผนหรือทรัพยากรอะไรบ้างที่จะช่วยให้เราผ่านพ้นไปได้ แนวทางนี้ไม่เพียงช่วยให้เรารับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยลดความวิตกกังวลในระยะยาวอีกด้วย

เข้าใจและจัดการความผิดพลาด

ทุกคนต้องเผชิญกับข้อผิดพลาดหรือการตัดสินใจที่ผิดพลาดในช่วงหนึ่งของชีวิต แต่สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่การพยายามหลีกเลี่ยงความผิดพลาดทั้งหมด แต่อยู่ที่ความสามารถในการเข้าใจและจัดการกับมัน มังเกอร์กล่าวไว้ว่า “ชีวิตไม่มีทางที่จะปราศจากความผิดพลาด แต่คุณสามารถเรียนรู้ที่จะทำผิดพลาดให้น้อยกว่าคนอื่น และแก้ไขมันได้เร็วขึ้นเมื่อมันเกิดขึ้น”

เปรียบชีวิตกับเกมโป๊กเกอร์ ซึ่งในบางครั้ง คุณอาจต้องยอมแพ้แม้จะรักไพ่ในมือขนาดไหนก็ตาม เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรู้จักประเมินใหม่ว่าคุณอยู่ในสถานะที่ดีพอจะสู้ต่อหรือไม่ และไม่จมปลักกับสิ่งที่ผิดพลาดจนพลาดโอกาสใหม่ที่ดีกว่า

และสำหรับมังเกอร์ การเข้าใจความผิดพลาดไม่ได้หมายถึงการโทษตัวเอง แต่เป็นการใช้ข้อผิดพลาดนั้นเป็นโอกาสเรียนรู้ เขาแนะนำให้เรามองข้อผิดพลาดเป็นบทเรียนสำคัญ และใช้มันในการพัฒนาตัวเองและการตัดสินใจในอนาคต

ท้ายที่สุด Munger ฝากข้อคิดไว้ว่า ควรตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เราสามารถนำบทเรียนเหล่านั้นมาปรับใช้ในชีวิตและงานของเราอย่างไร และเราจะพัฒนาให้ดีขึ้นได้อย่างไรในทุกวัน”

คำแนะนำของ Charlie Munger สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดที่ทั้งเรียบง่ายและลึกซึ้ง ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตและการทำงานได้จริง แม้เขาจะจากไปแล้ว แต่แนวคิดและมรดกทางปัญญาของเขายังคงเป็นแสงนำทางให้คนรุ่นต่อไปเดินตามสู่ความสำเร็จ