‘Marlboro Man’, ‘For God only’, ‘Human Currents’ หากใครที่เป็นสายถ่ายภาพหรือเสพงานอาร์ตน่าจะคุ้นกับผลงานเหล่านี้ไม่มากก็น้อย หารู้ไม่ว่าศิลปินที่ถ่ายรูปเหล่านี้คือคนเดียวกัน ทำความรู้จักกับ ฮานเนส ชมิด (Hannes Schmid) ผู้ที่ไม่เพียงแค่เป็นช่างภาพและศิลปิน แต่ยังเป็นผู้ก่อตั้ง Smiling Gecko Cambodia องค์กรไม่แสวงผลกำไรเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของเด็ก ๆ ในแถบยากไร้ของประเทศกัมพูชา อาจพูดได้ว่านอกเหนือจากศิลปินแล้ว ฮานเนสคือหนึ่งในนักการกุศลที่สร้างประโยชน์มากมายแก่เด็ก ๆ ใน Smiling Gecko เช่นกัน
รู้จักกับ Smiling Gecko : ใบเบิกทางสู่สภาพชีวิตที่ดีกว่า ด้วยหลักสูตรการศึกษาที่พัฒนาเพื่อสายอาชีพโดยเฉพาะ
Smiling Gecko คือองค์กรไม่แสวงผลกำไร (NGO) ที่ก่อตั้งในปี 2012 ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และต่อมาในปี 2014 จึงได้เริ่มตั้งหลักปักฐานที่ประเทศกัมพูชา เริ่มจากการซื้อที่ดิน 90,000 ตารางเมตรแรกในจังหวัดกำปงชนัง ประเทศกัมพูชา โดยฮานเนส ชมิด เลือกตั้งหลักในประเทศนี้ด้วยความตั้งใจที่จะสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้เหล่าผู้ยากไร้ในแถบชนบทของประเทศกัมพูชา และความเชื่อมั่นที่ว่าการศึกษาคือหนทางที่จะช่วยยกระดับชีวิตของคนเหล่านี้ได้ และนำไปสู่สภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม
จุดเริ่มต้นของ Smiling Gecko Cambodia เกิดจากความหลงใหลและความเห็นอกเห็นใจของชมิด โดยชมิดเข้ามาในประเทศกัมพูชาและได้เห็นกับสภาพแวดล้อมและการใช้ชีวิตที่แสนทรหดของเด็ก ๆ และครอบครัวในแถบชนบทของชาวกัมพูชา หนึ่งในความเจ็บปวดที่สุดของชมิดคือผู้คนเหล่านี้แทบจะไม่มีการศึกษาที่เหมาะสม และไม่มีโอกาสได้เป็น ‘มนุษย์’ อย่างแท้จริง เพราะพวกเขาเหล่านี้ถูกปลูกฝังมาแบบเดียวกัน นั่นคือเกิดมาต้องทำงานในโรงงานที่ค่าแรงต่ำกว่า 1 เหรียญสหรัฐฯ หรือกรณีผู้หญิงก็จะถูกนำไปขายตัวตั้งแต่อายุ 11-15 ขวบ เพราะพวกเขาไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนหนังสือ จึงกลายเป็นแรงงานชั้นล่างที่ถูกกดขี่ และไม่มีความฝันที่แท้จริงเป็นของตัวเอง ซึ่งต่างจากชมิดที่มองว่าตัวเขาเองเมื่อเทียบกับเด็ก ๆ เหล่านี้เขาคือผู้ที่มีอภิสิทธิ์มากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
‘Cambodia has a future with education’ (กัมพูชาจะมีอนาคตที่ดีได้ด้วยการศึกษา) นี้คือปรัชญาหลักของ Smiling Gecko ที่ยึดถือมาตั้งแต่เริ่มต้น งอน สก เลียบ (Ngon Sok Leap) ผู้ร่วมก่อตั้ง/กรรมการบริการขององค์กรเองก็เชื่อมั่นว่าเด็ก ๆ ทุกคนที่ไม่มีอภิสิทธิ์ในชนบทของกัมพูชาสมควรที่จะได้รับโอกาสที่จะฝัน และมีอาชีพที่มากกว่าแค่พนักงานโรงงานหรือเกษตรกร พวกเขาควรจะได้จบมัธยมปลายด้วยโอกาสในการเป็นพ่อค้า ช่างฝีมือ ผู้บริหารโรงแรม หรือทนาย และการมีความฝันที่จะทำอาชีพเหล่านี้ไม่ใช่การเป็น ‘กลุ่มอภิสิทธิ์ชน’ แต่คือความยุติธรรมต่างหาก
ชมิดเชื่อมาโดยตลอดว่าการศึกษาจะนำพาเด็ก ๆ ที่ขาดโอกาสเหล่านี้ไปสู่อนาคตที่ดีขึ้นได้ หลักสูตรของโรงเรียนจึงเน้นสอนหลักสูตรที่สามารถพัฒนาทักษะได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรสองภาษา (Bilingual teaching) กีฬา (Physical Education) และที่สำคัญคือดนตรีและศิลปะ (Music and Art) ชมิดพูดเสริมว่า “ผมอยากให้เด็ก ๆ ได้รู้จักแหล่งที่มาของตนเอง ได้เรียนรู้วัฒนธรรมและมีอาชีพที่ส่งเสริมการใช้ชีวิตของพวกเขา เพื่อให้การเป็นอยู่ของพวกเขาไปได้ไกลกว่าบรรทัดฐานและวัฏจักรเดิม ๆ ที่สังคมยัดเยียดให้ แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องรู้ว่าแหล่งกำเนิดและวัฒนธรรมของตัวเองอะไร”
Mariya Un Noun : จากหญิงสาวที่มีแค่ความฝัน สู่วันที่ฝันเป็นจริง
มารียา อุน นุน (Mariya Un Noun) เฮดเชฟของร้านอาหาร Farmhouse Resort & Spa หนึ่งในบุคคลสำคัญจาก Smiling Gecko ที่เรียกว่าอยู่มาตั้งแต่เริ่มต้นจากการสนับสนุนของชมิด เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้ผลักดันตนเองจากจุดที่ต่ำที่สุด สู่ความฝันที่เป็นจริงด้วยการศึกษา ความตั้งใจ และความหลงใหลในวัตถุดิบบ้านเกิดของตนเอง และการยกระดับอาหารกัมพูชาสู่ Fine dining อย่างไร้ที่ติ
มารียาถือเป็นตัวอย่างของคนที่แทบไม่มีอภิสิทธิ์ แต่เมื่อได้รับโอกาสที่เหมาะสม เธอก็สามารถใช้ความหลงใหลในอาหารของเธอในการผลักดันวัฒนธรรมของกัมพูชาออกสู่สายตาชาวโลกได้อย่างทรงคุณค่า ทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้เด็ก ๆ คนอื่นและเหล่าเชฟที่ทำงานร่วมกัน ตรงกับเป้าหมายหลักของ Smiling Gecko ที่เชื่อมั่นว่าการศึกษาจะนำพาไปสู่อนาคตที่ดีกว่า มารียาจึงถือเป็นอัตลักษณ์ความสำเร็จขององค์กรอย่างไม่ต้องสงสัย

ชมิดและมารียาไม่ใช่แค่คู่หูธรรมดา แต่เป็นนักปฏิวัติวัฒนธรรมด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความหลงใหล พวกเขาได้อุทิศตนเพื่อยกระดับมรดกอันล้ำค่าของกัมพูชาสู่เวทีโลก ในขณะที่ชมิดมุ่งมั่นสร้างอนาคตที่สดใสให้กับชาวกัมพูชาด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกล มารียาได้ทุ่มเทในการเผยแพร่เสน่ห์ของอาหารกัมพูชาที่ซ่อนอยู่ให้โลกได้รับรู้ ทั้งคู่กลายเป็นหัวใจหลักของ Smiling Gecko ที่ไม่เพียงนำวัฒนธรรมกัมพูชาอันงดงามสู่สายตาชาวโลก แต่ยังปลูกฝังเมล็ดพันธุ์แห่งการศึกษาที่จะเปลี่ยนชีวิตเด็ก ๆ ผู้ด้อยโอกาส
พวกเขาเชื่อว่าเมล็ดพันธุ์เล็ก ๆ แห่งความหวังที่ได้รับการดูแลด้วยความรักและการศึกษา จะเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแกร่งและงดงาม—เป็นอนาคตใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงไม่เพียงชีวิตของพวกเขา แต่ยังรวมถึงชุมชนและประเทศชาติอีกด้วย