ปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถูกยกย่องว่าเป็นเป็นนักลงทุนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในคนที่ฉลาดที่สุดในโลก และเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดอันดับที่ 6 ของโลกในปี 2025 ด้วยแนวทางการลงทุนเน้นคุณค่า (VI) ที่มีลักษณะเฉพาะตัวและเต็มไปด้วยความระมัดระวังในการตัดสินใจทางการเงิน

ถึงแม้เขาจะถึงขั้นอภิมหาเศรษฐี แต่ปู่บัฟเฟตต์กลับเลือกที่จะเงียบในหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางการค้าและนโยบายภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์

บัฟเฟตต์ไม่อธิบายว่า ภาษีนำเข้าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี หรือไม่ให้ความเห็นว่า ตัวเองนั้นคิดอย่างไรเกี่ยวกับสูตรการคำนวณภาษีที่รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ใช้ เพื่อเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมจากประเทศคู่ค้า และแน่นอนอีกว่า ปู่ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับผลกระทบด้านภาษีของทรัมป์ แม้มันจะสร้างความปั่นป่วนและความไม่แน่นอนในตลาดหุ้นและพันธบัตร รวมถึงเศรษฐกิจภายในและนอกสหรัฐฯ โดยรวม

ในการสัมภาษณ์กับ CNBC บัฟเฟตต์เคยออกแถลงการณ์ว่า “รายงานที่เผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ที่กล่าวอ้างว่าเป็นของบัฟเฟตต์เองนั้น ทุก ๆ รายงานเหล่านั้นเป็นเท็จ” เพราะว่าเขาจะไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับตลาด, เศรษฐกิจ, หรือภาษี จนกว่าจะถึงการประชุมประจำปีของบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮทาเวย์ ที่จะจัดขึ้นทุก ๆ ปีเท่านั้น

3 บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับตัดสินใจจากปู่บัฟเฟตต์

ชัดเจนแล้วจึงพูด

บทเรียนที่แรก ควรหลีกเลี่ยงการแสดงความคิดเห็นในประเด็นที่มีความขัดแย้งหรือไม่แน่นอน จนกว่าจะมีข้อมูลที่ชัดเจนพอ และถึงแม้เขาจะเป็นนักลงทุนที่มีชื่อเสียงและความสามารถในการขับเคลื่อนตลาด แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ให้ความคิดเห็นในสถานการณ์ที่ยังคลุมเครือ

ดังนั้น การเงียบในบางครั้งกลับเป็นการตอบกลับที่มีประสิทธิภาพกว่า เพราะมันช่วยหลีกเลี่ยงการพูดที่อาจสร้างความสับสนหรือผิดพลาดได้ และในบางสถานการณ์ การพูดมากเกินไปอาจทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิม เขาเลือกที่จะเงียบจนกว่าจะมีข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นที่ยอมรับ

บัฟเฟตต์ทำสิ่งที่ถูกต้องที่สุดคือการไม่พูดอะไรเลย ยกเว้นการเตือนทุกคนว่าเขากำลังเงียบอยู่ ทำให้ข้อมูลทั้งหมดที่อ้างความเห็นของปู่บัฟเฟตต์จึงเป็นเรื่องไม่จริงไปโดยปริยาย

เมื่อคำพูดของคุณมีน้ำหนัก คุณควรระมัดระวังมันให้ดี

บทเรียนที่สองคือ อีกบทเรียนสำคัญจากวอร์เรน บัฟเฟตต์ คือการระมัดระวังในการใช้คำพูด เพราะคำพูดของเขามีความหมายและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้คนมากมาย

เมื่อมีการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงเกี่ยวกับเขา เขาจึงต้องออกมาทำให้ทุกคนรับรู้ว่าเขาไม่ได้พูดเช่นนั้น โดยที่เขาไม่ได้ลงลึกไปในความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ แต่เพียงแค่แก้ไขข้อมูลที่ผิดเท่านั้น

ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าการพูดอย่างมีสติและระมัดระวังนั้นสำคัญมาก เมื่อคำพูดของคุณสามารถส่งผลต่อเศรษฐกิจหรือการตัดสินใจของผู้อื่นได้

ช้าอย่างระมัดระวังดีกว่าเร่งทำ

บทเรียนที่สามนั้นเกี่ยวกับการตัดสินใจที่ไต่ตรอง ซึ่งวอร์เรน บัฟเฟตต์เคยพูดว่า “คุณไม่ได้เงินจากการทำโน่นทำนี้หรอก คุณจะได้เงินจากการทำสิ่งที่ถูกต้องต่างหาก” แนวคิดนี้สะท้อนถึงการลงทุนในระยะยาวที่ไม่ต้องการผลตอบแทนที่รวดเร็วหรือเสี่ยงสูง แต่เป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าและสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว

การทำสิ่งที่ถูกต้องในการลงทุนหมายถึงการเลือกลงทุนในสิ่งที่มีคุณค่าแท้จริง และสามารถสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง โดยไม่ต้องตามกระแสหรือทำตามความนิยมในช่วงสั้น ๆ

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของแนวคิดนี้คือการที่วอร์เรน บัฟเฟตต์เลือกที่จะไม่ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในช่วงแรก แม้ว่าจะมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงนั้น บัฟเฟตต์มองว่าเทคโนโลยีเหล่านั้นยังมีความเสี่ยงสูงและเขาไม่เข้าใจในธุรกิจเหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง เขาจึงไม่ตัดสินใจลงทุน

ในทางกลับกัน บัฟเฟตต์ยังเลือกที่จะลงทุนในบริษัทที่มีโครงสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่ง เช่น Coca-Cola หรือ American Express ซึ่งมีความมั่นคงทางการเงินและสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เขามองว่าเหล่านี้เป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าแท้จริงและสามารถทำกำไรได้ในระยะยาว

จนกระทั่งเมื่อเขามั่นใจว่าเขามีความรู้และเข้าใจในธุรกิจนั้น ๆ อย่างแท้จริง จึงเริ่มลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับการลงทุนในสิ่งที่เขารู้และเข้าใจดีกว่า

การเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณค่าเช่นนี้สะท้อนถึงหลักการของบัฟเฟตต์ที่ว่า การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนในธุรกิจที่มีโครงสร้างที่แข็งแกร่งและมีอนาคตที่มั่นคง