วันที่ 22 กรกฎาคม 2565 ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวชัดเจนขึ้น หลังจากช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบรุนแรงจากสถานการณ์โควิด-19 และการฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ตามการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ คาดว่า GDP ในปี 2565 จะขยายตัวที่ร้อยละ 3.3 และปี 2566 ที่ร้อยละ 4.2
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวในแต่ละภาคเศรษฐกิจยังไม่ทั่วถึง ซึ่งกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับการส่งออกฟื้นตัวได้ดีเกินกว่าช่วงก่อนโควิดไปแล้ว ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวแม้ฟื้นตัวเร็ว แต่ยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิดค่อนข้างมาก คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้จะอยู่ที่ 6,000,000 คน
สำหรับอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นจากปัจจัยด้านราคาน้ำมันเป็นหลัก คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2565 จะอยู่ที่ร้อยละ 6.2 โดยเงินเฟ้อจะสูงสุดในช่วงไตรมาส 3 ที่ร้อยละ 7.5 และมีแนวโน้มสูงกว่ากรอบเป้าหมาย ซึ่ง ธปท. มองว่าการดำเนินนโยบายการเงินและมาตรการทางการเงิน ภายใต้บริบทเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ต้องให้น้ำหนักกับเงินเฟ้อมากขึ้น
ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะช่วยสร้างความมั่นใจกับประชาชนว่านโยบายการเงินจะดูแลเงินเฟ้อไม่ให้สูงขึ้นต่อในระยะข้างหน้า โดยควรปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมยืนยันว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยของไทยยังไม่ช้าเกินไป และไม่จำเป็นต้องปรับให้สอดคล้องกับต่างประเทศ เพราะบริบทเศรษฐกิจการเงินแตกต่างกัน
สำหรับการปรับนโยบายและมาตรการทางการเงินของ ธปท. ในระยะต่อไป จะยังเน้นการมองภาพเศรษฐกิจการเงินที่เชื่อมโยงอย่างรอบด้านและมีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์ เพื่อให้การทยอยปรับนโยบายที่เข้าสู่ภาวะปกติในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและยังไม่ทั่วถึงได้ผลตามที่ต้องการคือ เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ไม่สะดุด และมีผลกระทบข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์น้อยที่สุด