วันอังคาร 2 พฤษภาคม สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ (CEA) โพสต์บนเว็บไซต์ทำเนียบขาวว่าการบริโภคพลังงานที่สูงของเหมืองขุดคริปโท ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต และโครงข่ายไฟฟ้าที่บริษัทเหล่านี้ตั้งอยู่ทั่วประเทศ ดังนั้นจึงได้เสนอภาษีสรรพสามิตการใช้พลังงานสำหรับเหมืองขุดคริปโทที่เรียกว่า Digital Asset Mining Energy (DAME) ซึ่งฝ่ายบริหารของไบเดนต้องการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและลดราคาพลังงาน
ที่มาของภาษี DAME เกิดจากปัจจุบันบริษัทเหมืองคริปโทใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก ส่งผลต่อการสร้างมลพิษทางสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น ราคาพลังงานที่สูงขึ้น และผลกระทบของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้นต่อสภาพอากาศ ซึ่งบริษัทเหล่านี้จ่ายแค่ค่าไฟ แต่ไม่ได้จ่ายราคาต่อผลกระทบที่ว่ามาทั้งหมด ดังนั้นรัฐจึงต้องการเก็บภาษีเพื่อกระตุ้นให้บริษัทต่าง ๆ เริ่มเห็นถึงผลเสียที่ชาวเหมืองก่อขึ้นให้กับสังคมได้ดีขึ้น
การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (ถ่านหิน ก๊าซ และน้ำมัน) สำหรับใช้ผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสหรัฐฯ ปีละ 25% นอกจากนี้สหรัฐฯ เป็นแหล่งของเหมืองคริปโทที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีบริษัทเหมืองคริปโทขนาดใหญ่ 34 แห่ง ใช้พลังงานไฟฟ้ารวมกันแล้วเกือบเท่ากับการใช้ไฟฟ้าของ 3,000,000 ครัวเรือนในสหรัฐฯ
ด้วยเหตุนี้รัฐบาลสหรัฐฯ จึงต้องการสร้างกฎระเบียบเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงต้นทุนทางสังคมของการขุดคริปโทที่แท้จริง โดยจะเริ่มทยอยเรียกเก็บภาษีสำหรับการขุดคริปโทภายใน 3 ปี เริ่มต้นจากปี 2024 ที่ 10% ปีถัดไป 20% และจบที่ 30% ตามลำดับ ซึ่งในช่วง 10 ปี จะสร้างรายได้ประมาณ 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (119,131 ล้านบาท) เพื่อแบ่งเป็นค่าใช้จ่ายให้แก่ท้องถิ่นและสิ่งแวดล้อม ซึ่งขณะนี้ทำเนียบขาวกำลังเกลี้ยกล่อมให้สภาคองเกรสผ่านภาษีดังกล่าว
ทั้งนี้มีการแสดงความคิดเห็นว่าภาษี 30% เป็นการหาทางขับไล่อุตสาหกรรมคริปโท มีอีกความคิดเห็นมองว่าจะไปกระทบกับเหมืองขุดคริปโทที่ใช้พลังงานสะอาด CAE ก็ได้มีการชี้แจงว่าการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจะทำให้การผลิตพลังงานสีเขียวยากยิ่งขึ้น และอีกประเด็นแย้งว่าทำไมอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น เคมีภัณฑ์และเหล็กกล้า ไม่โดนภาษีแบบเดียวกันบ้าง CAE ก็ได้มีการชี้แจงว่าอุตสาหกรรมนี้ช่วยสร้างงานและผลิตสินค้าที่จำเป็นต้องใช้
ที่มา : cryptopotato.com และ yahoo.com